เงินบาทผันผวนต่อ! ดอลลาร์-ฟันด์โฟลว์ต่างชาติกดดัน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 32.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น แนวโน้มผันผวน แรงกดดันจากดอลลาร์สหรัฐ-ฟันด์โฟลว์ต่างชาติ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศระบาดหนัก
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 32.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 32.19 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนและมีโอกาสเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง แรงกดดันมาจากทั้งเงินดอลลาร์ และ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ
โดยมองว่า เงินดอลลาร์พร้อมกลับมาแข็งค่าต่อ จากปัญหาการระบาดของ COVID-19 เลวร้ายลงในยุโรปหรือเอเชีย ทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่นๆ หรือตลาดกังวลปัญหาการระบาดทั่วโลก จนกลับมาปิดรับความเสี่ยง ก็จะเป็นปัจจัยหนุนเงินดอลลาร์ ตามความต้อง การสินทรัพย์ปลอดภัย
ขณะเดียวกันในส่วนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ปัญหาการระบาดในไทย ก็จะยิ่งกระตุ้นแรงขายสุทธิสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ กดดันให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงได้ จนกว่าการแจกจ่ายวัคซีนจะเร่งตัวขึ้นได้ดีขึ้น (อย่างน้อยเฉลี่ยวันละ 5 แสนโดสขึ้นไป หากต้องการให้ถึงเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกัน 50% ของประชากรภายในปีนี้)
อย่างไรก็ดี แนวต้านสำคัญยังอยู่ในโซน 32.25-32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวไปได้ อาจอ่อนค่าต่อได้ถึงระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น ทิศทางค่าเงินบาทที่มีความผันผวนมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ การใช้ Options เพราะหากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวสวนทางกับสิ่งที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ผู้ประกอบการเองก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิ์ของ Options หรือไม่ ทำให้ผู้ประกอบการมีความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน มากกว่าการจอง Forward เพียงอย่างเดียว
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.10-32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
สัปดาห์ที่ผ่านมา ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ได้กดดันให้ตลาดการเงินของหลายประเทศอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ขณะที่ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สดใสยังสามารถหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อได้
สำหรับสัปดาห์นี้ควรติดตามปัญหาการระบาดของ COVID-19 ทั่วโลก เพราะสถานการณ์การระบาด COVID-19 ที่เลวร้ายลงอาจกดดันให้ตลาดเดินหน้าปิดรับความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ ตลาดจะติดตามรายงานการประชุมเฟดล่าสุด เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเฟด
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้ฝั่งสหรัฐฯ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ โดย ISM (Services PMI) ที่ระดับ 63.5 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึงการขยายตัว)
ขณะเดียวกันการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ก็ส่งผลให้ภาคธุรกิจกลับมาดำเนินกิจการได้อีกครั้ง ทำให้ความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOTLS Job Openings) พุ่งขึ้น สู่ระดับ 9.3 ล้านตำแหน่ง
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจผู้เล่นในตลาดจะติดตามรายงานผลการประชุมเฟดเดือนมิถุนายน โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับการลดคิวอี (QE Tapering) รวมถึงแนวโน้มการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของเฟดว่า เฟดจะใช้ข้อมูลใดเป็นหลักในการช่วยตัดสินใจ รวมถึงแผนการลดคิวอีและแนวทางการสื่อสารกับตลาดการเงิน เป็นต้น
นอกจากนี้ตลาดจะติดตามแนวโน้มการระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐฯ มากขึ้น หลังมีการพบการระบาดสายพันธุ์ Epsilon ที่สามารถแพร่กระจายได้เร็ว และยังต้านทานวัคซีน mRNA ได้
ด้านยุโรป แม้ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปยังสดใส จากการเร่งแจกจ่ายวัคซีน รวมถึงการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown สะท้อนผ่าน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Services PMI) เดือนมิถุนายน ที่ยังอยู่ในระดับ 58 จุด และ 61.7 จุด
สำหรับอังกฤษ (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) แต่ต้องระวังและติดตามแนวโน้มการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Delta และ การเร่งแจกจ่ายวัคซีน ว่าจะสามารถควบคุมปัญหาการระบาดได้หรือไม่ เพราะหากการระบาดทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้รัฐบาลของหลายประเทศต้องใช้นโยบายควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น กดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้ในระยะสั้น
ทั้งนี้มองว่าประเทศในโซนยุโรป รวมถึงอังกฤษ อาจเผชิญปัญหาการระบาดไม่นาน เพราะประชากรเกิน 50% ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส และเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้หากเร่งแจกจ่ายวัคซีนให้เร็วขึ้นและเร่งการตรวจโรค ก็จะสามารถคุมการระบาดได้เร็ว กว่าประเทศในฝั่งเอเชีย หรือ อเมริกาใต้ ที่ยังแจกจ่ายวัคซีนได้ไม่ดี และวัคซีนที่แจกไปเยอะแล้วนั้น ก็ประสิทธิภาพต่ำในการรับมือ Delta
อนึ่งปัญหาการระบาดของ COVID-19 ล่าสุด อาจกดดันให้ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Sentiment) เดือนกรกฎาคม จะปรับตัวลดลง สู่ระดับ 27 จุด ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Sentiment) เดือนกรกฎาคม จะปรับตัวลดลง สู่ระดับ 76 จุด เช่นกัน
ส่วนเอเชีย เศรษฐกิจในหลายประเทศที่กำลังเผชิญปัญหาการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงได้ ซึ่งระยะเวลาที่เศรษฐกิจจะซบเซาลงนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแผนการรับมือการระบาดของแต่ละประเทศ
อย่างไรก็ดี เพื่อประคับประคองการฟื้นตัวเศรษฐกิจ เรามองว่า บรรดาธนาคารกลางในฝั่งเอเชียจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป โดยในสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Cash Rate) ไว้ที่ระดับ 0.10% พร้อมทั้งควบคุมยีลด์เคิร์ฟ (Yields Curve Control) โดยคงเป้าหมายบอนด์ยีลด์ 3 ปี ไว้ที่ระดับ 0.10%
ส่วนธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) ก็มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Overnight Rate) ไว้ที่ระดับ 1.75% หลังมาเลเซียเจอการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่รุนแรง
ขณะที่ไทย ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ที่กดดันให้เศรษฐกิจกลับมาซบเซาอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจากภาครัฐ (ลดค่าน้ำ ค่าไฟ) จะกดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน ชะลอตัวลงสู่ระดับ 1.20% จาก 2.44% ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ควรติดตามสถานการณ์การระบาด COVID-19 และแผนการแจกจ่ายวัคซีนอย่างใกล้ชิด