เกาะติดสถานการณ์ 'รัสเซีย-ยูเครน' (16 ก.ค. 2565)

ยุโรปกลายเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบรายใหญ่ของสหรัฐฯ แทนที่เอเชียครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังจากที่ยุโรปพยายามลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงจากรัสเซีย

ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคมปีนี้ ยุโรปนำเข้าน้ำมันดิบราว 213.1 ล้านบาร์เรล ส่วนเอเชียนำเข้าราว 191.1 ล้านบาร์เรล

ความเปลี่ยนแปลงนี้ สะท้อนให้เห็นว่า วิกฤตรัสเซียยูเครนนั้น ทำให้ซัพพลายพลังงานหันเหทิศทางไปอย่างไร หลังสหรัฐฯ และชาติตะวันตกพยายามตัดเส้นทางทางการเงินของรัสเซียด้วยการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย จึงทำให้ชาติตะวันตกต้องหันไปนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐฯ แทน ในขณะที่ รัสเซียก็แก้เกมด้วยการได้เสนอขายน้ำมันดิบในราคาลดพิเศษให้กับจีนและอินเดีย ที่ไม่ได้คว่ำบาตรรัสเซียแทน

คริสโตเฟอร์ เฮนส์ นักวิเคราะห์น้ำมันดิบโลกของ Energy Aspects ระบุว่า ในขณะที่ยุโรปพยายามลดการพึ่งพาพลังงานของรัสเซีย และเปลี่ยนไปใช้น้ำมันดิบจากที่อื่น เช่น สหรัฐฯ แทน มีแนวโน้มว่ารูปแบบการใช้น้ำมันในลักษณะนี้จะยังคงดำเนินต่อไป

อย่างไรก็ตาม ศักยภาพการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ยังไม่เร็วพอที่จะตอบสนองความต้องการ ทั้งในยุโรปและเอเชียได้ นอกจากนี้ดูเหมือนว่า ตะวันออกกลางกำลังจำกัดปริมาณการส่งน้ำมันไปยุโรปอีกด้วย

ทั้งนี้ ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง อย่าง ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE กำลังประสบปัญหาในการผลิตน้ำมันให้ได้ตามข้อตกลงขององค์กรกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ OPEC และชาติพันธมิตร ส่วนผู้ผลิตรายอื่น ๆ เช่น ลิเบีย กำลังเผชิญกับความไม่สงบทางการเมือง จึงทำให้ส่งออกน้ำมันได้อย่างจำกัด ทำให้มีการจับตาต่อจากนี้ว่า OPEC จะบริหารจัดการอย่างไรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้สูงขึ้นในปีต่อ และจะได้สัดส่วนตลาดกลับมาอย่างไร

ข้อมูล TNN World

ภาพ  Reuters