รีเซต

ปฐมบท 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' ชีวิตสองด้านที่ต้องแลกด้วยน้ำตา

ปฐมบท 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' ชีวิตสองด้านที่ต้องแลกด้วยน้ำตา
TNN ช่อง16
20 พฤษภาคม 2567 ( 10:34 )
27

เคยสงสัยไหมว่า ชีวิตที่แท้จริงของคนในแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอย่างไร? พวกเขาต้องเผชิญกับความกดดันแค่ไหน เพื่อบรรลุเป้าหมายการหลอกเงินจากเหยื่อ?


ปฏิบัติการ HANG UP โดยตำรวจไซเบอร์ที่บุกจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา ได้เปิดเผยความจริงอันน่าตกใจเกี่ยวกับวงการอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งกำลังลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ 


เบื้องหลังขบวนการหลอกลวงออนไลน์ที่ดูเหมือนไร้ที่สิ้นสุดนั้น มีเรื่องราวน่าสะเทือนใจแค่ไหน และสังคมไทยจะร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร  ติดตามได้จากบทความนี้ 


-------------


การแถลงข่าวปฏิบัติการ HANG UP โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2567 เปรียบเสมือนสัญญาณแตรเตือนภัยสังคมไทย ให้รู้ถึงความโหดร้ายทารุณของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่แฝงกายอยู่เบื้องหลังอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งกำลังผงาดขึ้นเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ จากการหลอกลวงเชิงซ้อนที่ทิ้งรอยแผลเหวอะหวะให้กับผู้คนมากมาย

ความมุ่งมั่นของตำรวจไซเบอร์ในภารกิจครั้งนี้ นำทีมโดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และเหล่านักสืบ ที่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานและจับผู้ต้องหาได้ถึง 12 ราย พร้อมทั้งเปิดโปงถึงเบื้องลึกเบื้องหลังขบวนการนรกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองโอเสม็ด ประเทศกัมพูชา

"หัวใจของปฏิบัติการครั้งนี้ คือการสืบพบหลักฐานสำคัญจากแฟลชไดรฟ์ของหัวโจกคนนี้ ซึ่งทำให้เราเห็นองครวมทั้งหมดของวงจรอุบาทว์ โดยเฉพาะสคริปต์ลวงที่ใช้จับเหยื่อ ข้อมูลเคราะห์ร้ายที่ถูกหลอกมาแล้วกว่า 12,000 ราย ไปจนถึงซิมและบัญชีม้า ที่ถูกใช้เป็นอาวุธประทุษร้ายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยฝีมือเหนือชั้นที่คิดว่ากฎหมายไม่อาจตามทัน" พล.ต.ท.วรวัฒน์  กล่าวทิ้งท้ายไว้ในการแถลงข่าว


'ปฐมบท' แก๊งคอลฯ คำสารภาพหลัง ‘กำแพงเงิน’ 


จากการสอบปากคำผู้ต้องขังทั้ง 12 คนนั้น ทุกคำพูดชี้ไปทางเดียวว่า นายปฏิภาณ เป็นผู้กุมบังเหียนสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจมืดทั้งหมด โดยมีการจ้างลูกสมุนให้ทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองต่างๆ ในการล่อลวงเหยื่อ และตั้งเป้ายอดทรัพย์ขั้นต่ำที่สัปดาห์ละ 20 ล้านบาท หรือราวเดือนละ 80 ล้านบาท นั่นหมายความว่าแก๊งนี้กอบโกยรายได้หมุนเวียนปีละนับพันล้านบาท


กระนั้นก็ดี ชีวิตลูกจ้างในแก๊งนั้นต้องเผชิญกฎระเบียบและการควบคุมที่เข้มงวดยิ่งกว่าคุก ทั้งถูกคุมขังให้อยู่แต่ในตึกสูงที่มีกำแพงล้อมและยามเฝ้าตลอดเวลา ไม่ได้ติดต่อสื่อสารกับใคร ต้องทำงานหนักถึง 10 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่มีวันหยุด หากผิดระเบียบ ไม่ว่าจะด้วยการทำยอดได้ไม่ถึงเป้า หรือแม้แต่พูดคุยกันข้ามสาย ก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก ตั้งแต่ถูกบังคับยืนตากแดดจัดวันละ 2-3 ชั่วโมง ถูกทุบตีอย่างป่าเถื่อน ไปจนถึงการถูกช็อตด้วยไฟฟ้ากระแสสูง



ยามทำงาน พวกเขาจะถูกให้ท่องบทสนทนาที่เขียนโดยนายปฏิภาณ ซึ่งมีทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาจีน ให้ขึ้นใจ ก่อนจะต้องนั่งซ้อมหัดเล่นละครหลอกกับพนักงานรุ่นพี่ให้เป็นมืออาชีพ โดยกลุ่มเป้าหมายมักจะเป็นผู้สูงวัยและข้าราชการบำนาญ ทุกคนทำงานอยู่ใต้แรงเคี่ยวเข็ญสุดขีด เพื่อทำเงินให้ได้ยอดกำหนดทุกสัปดาห์และทุกเดือน มิเช่นนั้นจะต้องเจอบทลงโทษที่รออยู่


คำให้การเหล่านี้สะท้อนถึงสภาพการงานที่เลวร้ายในโรงงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ต่างจากโรงงานมนุษย์เถื่อน ไร้วันหยุด ตัดขาดโลกภายนอก ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งยอดทรัพย์มหาศาลถึงสัปดาห์ละ 20 ล้านบาท นับได้ว่าเป็นอาชญากรรมเชิงพาณิชย์ ที่ใช้ชีวิตผู้คน เป็นเดิมพัน 


'ปัจฉิม' ลิขิตแก๊งคอลฯ เมื่อเสียงร่ำไห้ดังกว่าคำอำลา


มุมมองอีกด้านของโศกนาฏกรรมคอลเซ็นเตอร์ คือความทรมานแสนสาหัสของเหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายของพวกคนชั่ว ไม่เพียงสูญเงินทองก้อนโตเท่านั้น แต่ยังสูญเสียรอยยิ้มและความหวังไปตลอดกาล อย่างเช่นชายวัย 47 ปี ในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ถูกหลอกถอนเงินไปกว่า 4 แสนบาท สุดท้ายคิดสั้นผูกคอตายอนาถ หรือกรณีของชาวสมุทรปราการอีกราย ที่จบชีวิตตัวเองหลังถูกหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม รวมถึงรายล่าสุด การเสียชีวิตของเหยื่อใน จ.ปทุมธานี ที่ตัดสินใจยิงตัวตาย เนื่องจากถูกหลอกไปกว่า 10 ล้านบาท 


ข้อมูลการหลอกลวงออนไลน์ปี 2566 มีการแจ้งความมากกว่า 341,733 เรื่องผ่านระบบออนไลน์ของตำรวจ และ 164,096 สายผ่าน สายด่วน รวมทั้งมีแจ้งความที่หน่วยงานอีก 53,864 เรื่อง (ข้อมูล ณ 19 ส.ค. 66) ความเสียหายมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ความรุนแรงของปัญหา แต่ในความจริง กลับสื่อถึงบาดแผลลึกที่ฝังอยู่ในหัวใจของเหยื่อหลายแสนคน


การเผชิญกับการสูญเสียในชั่วพริบตา ทำให้เหยื่อหลายคนรู้สึกอัปยศ หมดหวัง และด้อยค่าในตัวเอง บางรายไม่กล้าเปิดปากหรือขอความช่วยเหลือ จนนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหนัก หลายคนมองไม่เห็นทางออกจากวังวนนี้ และเชื่อว่าการจบชีวิตตัวเองเป็นคำตอบสุดท้าย


นาทีนี้ของสังคมไทยกับการต่อกรแก๊งคอลเซ็นเตอร์


ปฏิบัติการ HANG UP นี้ ได้จุดประกายให้สังคมไทยตื่นตัวต่อปัญหามหันตภัยหลอกลวงออนไลน์ ไม่เพียงต้องเร่งดำเนินการลงดาบตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องเสริมเกราะป้องกันให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ให้ตั้งหลักรู้ทันเล่ห์กลของศัตรู ขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการดูแลรักษาผู้ที่เป็นเหยื่อทั้งรายกายและจิตใจ ช่วยพวกเขาให้ลุกขึ้นสู้ใหม่ได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ชัยชนะที่แท้จริงในการกำราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนหนุนหลังกัน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ สื่อ และประชาชน ต้องร่วมแรงใจกันทั้งการปราบปราม ป้องกัน และเยียวยา เพื่อถอนรากมะเร็งร้ายนี้ให้หมดจากแผ่นดินไทย พร้อมกันนั้นก็ต้องสร้างสังคมที่เป็นธรรม ให้โอกาสและงานดีๆแก่เยาวชน ไม่ให้ต้องพึ่งพาอาชีพสกปรกอีกต่อไป เมื่อนั้นเราจึงมีความหวังว่า วงจรแห่งการหลอกและถูกหลอกจะถูกทำลายลงได้อย่างถาวร


อ้างอิง 

แถลงปฏิบัติการ HANG UP

ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รรท.ผบ.ตร. 

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.

ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.


ภาพ Getty Imaes 

เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN 


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม