รีเซต

คลัง เตรียมวงเงิน 114,100 ล้านบาท ดูแลเอสเอ็มอี​เพิ่มเติม

คลัง เตรียมวงเงิน 114,100 ล้านบาท ดูแลเอสเอ็มอี​เพิ่มเติม
มติชน
18 สิงหาคม 2563 ( 20:56 )
133

คลัง เตรียมวงเงิน 114,100 ล้านบาท ดูแลเอสเอ็มอี​เพิ่มเติม

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ได้ขยายตัวเป็นวงกว้างและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมไปถึงประชาชนทั้งผู้ประกอบอาชีพอิสระและผู้มีรายได้ประจำ ขาดรายได้ ขาดสภาพคล่อง มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเลิกจ้างและปิดกิจการ แม้ว่ารัฐบาลได้มีมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ออกมาเพื่อบรรเทาผลกระทบอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​และประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน

 

ทั้งนี้​ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.)​ ได้มีมติเห็นชอบ เรื่อง การทบทวนมติ ครม.
และเสนอมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี​เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อแก้ไขปัญหาข้อติดขัดในการดำเนินโครงการเพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​ มีสภาพคล่อง สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอใน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มเอสเอ็มอี​ทั่วไป 2.กลุ่มเอสเอ็มอี​ท่องเที่ยว และ 3.กลุ่มเอสเอ็มอี​รายย่อยและประชาชน วงเงินสินเชื่อและวงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวม 114,100 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

กลุ่มเอสเอ็มอี​ทั่วไป
1.สินเชื่อซอฟท์โลน ธนาคารออมสิน วงเงิน 20,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสิน
ให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงินในอัตรา 0.01% ต่อปี และสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อต่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​ วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย คิดอัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี สำหรับผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี​ ทั่วไป วงเงิน 10,000 ล้านบาท และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​ ในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินจะปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​ โดยตรงจำนวน 3,000 ล้านบาท
2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อพีจีเอส ซอฟท์โลน พลัส วงเงิน 57,000 ล้านบาท โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​ ที่มีคุณสมบัติตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. ซอฟท์โลน) แต่ยังไม่ได้รับสินเชื่อตาม พ.ร.ก.ซอฟท์โลน คิดอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 8 ปี โดย บสย. จะเริ่มค้ำประกันและเก็บค่าธรรมเนียมในต้นปีที่ 3 นับจากวันที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​ แต่ละรายได้รับสินเชื่อตาม พ.ร.ก.ซอฟท์โลน
3.โครงการค้ำประกันสินเชื่อพีจีเอส ระยะที่ 8 วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​ทั่วไป วงเงินไม่เกิน 20 ล้านต่อรายรวมทุกสถาบันการเงิน ในอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี

กลุ่มเอสเอ็มอี​ท่องเที่ยว
1.สินเชื่อฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยในธุรกิจท่องเที่ยวและห่วงโซ่ วงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย คิดอัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ระยะเวลากู้ 5 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี
2.สินเชื่อเงินสด​พิเศษ วงเงิน 9,600 ล้านบาท โดยธนาคารธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ
ขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​ ขนาดย่อมในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นๆ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล วงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย คิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 5 ปี

 

กลุ่มเอสเอ็มอี​รายย่อยและประชาชน
1.สินเชื่อเสริมพลังฐานราก วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นบุคคลธรรมดา ผู้มีรายได้ประจำ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และบุคคลในครอบครัว วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน
2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ ผู้ประกอบการรายย่อย​ ระยะที่ 3 วงเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายย่อย คิดอัตราค่าธรรมเนียม 1 – 2% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี ขยายเวลารับคำขอค้ำประกันถึง 30 ธันวาคม 2563

 

“กระทรวงการคลังมั่นใจว่ามาตรการดูแลเอสเอ็มอี​เพิ่มเติม จะทำให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี​ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นไปอย่างทั่วถึงและเพียงพอ และจะเป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญในการช่วยเหลือและเยียวยาภาคธุรกิจและภาคประชาชนให้ผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ โดยกระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลเศรษฐกิจไทยอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” นายลวรณ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง