ปรากฏการณ์“Blue Wave”กับทิศทางราคาทองคำ
Gold Bullish
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโจ ไบเดน
- Blue Wave พรรคเดโมแครตครองอำนาจทั้งทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรผ่านกฎหมายง่ายขึ้น
- แนวโน้มสหรัฐจะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เป็นปัจจัยหนุนต่อทองคำในระยะยาว
Gold Bearish
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอาจล่าช้าและไม่ได้ง่ายอย่างที่ตลาดคาดหวังไว้
- คะแนนเสียงในวุฒิสภาของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันเท่ากัน
- การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ทองคำหลังโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46
โจ ไบเดนเข้าพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ท่ามกลางการจับตามองจากทั่วโลก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นนโยบายต่างๆ ภายใต้การบริหารงานของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ไปด้วย และจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงสินทรัพย์เพื่อการลงทุนต่างๆ รวมทั้งทองคำด้วย ซึ่งในบทความนี้คงกล่าวถึงนโยบายสำคัญและนโยบายเร่งด่วนที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์
ตรงนี้เป็นมาตรการเพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ก่อนหน้านี้โจ ไบเดนได้เสนอไว้และส่งผลให้ทั้งตลาดหุ้น ทองคำตอบรับในทางบวก เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐรอบนี้เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “Blue Wave” นั่นคือสีฟ้าคือสีประจำพรรคเดโมแครตครองอำนาจทั้งทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร จากเดิมที่พรรครีพับลิกันหรือพรรคสีแดงครองอำนาจในทำเนียบขาวและครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ส่วนพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้การผ่านกฎหมายต่างๆ ทำได้ยากเนื่องจากมีความขัดแย้งกันระหว่าง 2 พรรคการเมือง ขณะที่เมื่อเป็น “Blue Wave” ทำให้มีการคาดการณ์การผ่านกฎหมายต่างๆ คงง่ายขึ้น โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลายเป็นว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของโจ ไบเดนกลับมีเสียงคัดค้านจากสมาชิกสภาคองเกรสที่มาจากพรรคเดโมแครตด้วย และอย่าลืมว่าคะแนนเสียงในวุฒิสภาของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน คือ 50:50 เท่ากัน แต่รองประธานาธิบดีสหรัฐให้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาด้วย ทำให้กลายเป็นว่าพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาไปโดยปริยาย ด้วยคะแนนเสียงปริ่มน้ำเช่นนี้สมาชิกวุฒิสภาของพรรคเดโมแครตห้ามเสียงแตก ทำให้ประเมินว่าคงต้องมีการปรับลดวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประเด็นที่อาจจะต้องมีการปรับลดวงเงินและการออกมาตรการอาจล่าช้าออกไป เป็นปัจจัยที่กดดันต่อราคาทองคำในระยะสั้น
นโยบายที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19
ขอแยกเป็นการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่สำคัญในช่วงเวลานี้คงเป็นการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่ประชาชนในสหรัฐที่มีอยู่ราว 330 ล้านคนให้เร็วที่สุดและวงกว้างมากที่สุด ควบคู่กับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่โจ ไบเดนพยายามรณรงค์ให้ใส่หน้ากากอนามัย สหรัฐเริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2563 และเป็นประเทศที่จองวัคซีนมากที่สุดในโลกคือ 1,010 ล้านโดส รวมทั้งติดอันดับประเทศที่มีฉีดวัคซีนมากที่สุดในโลกคือ 24.48 ล้านโดส แต่ครอบคลุมประชากรสหรัฐเพียง 7.45% เท่านั้น ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐยังคงได้รับผลกระทบทางลบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้นการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐบางตัวอาจจะยังไม่ดีและเป็นประเด็นที่กลับมาเป็นประเด็นบวกต่อทองคำได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้สำเร็จเป็นปัจจัยหลักที่กระทบต่อทองคำในทางลบ
ราคาทองคำ Spot ในช่วงเวลาหลังโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ท่ามกลางประเด็นเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่อาจล่าช้าและไม่ได้ง่ายอย่างที่ตลาดคาดหวังไว้ ระยะสั้นอาจมีแนวโน้มปรับลงเข้าใกล้แนวรับ 1,830 ดอลลาร์ และมีแนวรับสำคัญ 1,805 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 1,865 ดอลลาร์ และแนวต้านถัดไป 1,875 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 26,000 บาท และ 25,700 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 26,400 บาท และ 26,500 บาท แต่ในระยะยาวแล้วมาตรการทางการคลังขนาดใหญ่ที่คาดจะเกิดขึ้น จะทำให้สหรัฐขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำในระยะยาว
เกาะติดข่าวที่นี่
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE