หมอสูติ ชง 3แนวทางจูงใจ ปั๊มลูก รัฐจ่ายคนละครึ่งค่าของใช้เด็ก-ลดภาษี
ราชวิทยาลัยสูติฯ เร่งศึกษากำหนดรายการรักษามีบุตรยาก หมอสูติศิริราช ชง 3 แนวทาง ปั๊มลูก เปิดเนอสเซอรี่ รัฐช่วยจ่ายคนละครึ่งค่าของใช้เด็กอ่อน ลดภาษีจูงใจ
วันที่ 15 ก.พ.2565 ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงการจัดทำรายละเอียดแนวทางการทำหัตถการเพื่อรักษาโรคมีบุตรยาก เพื่อส่งเสริมการเกิดในประเทศไทย ว่า ขณะนี้เพิ่งจะเริ่มตั้งกรรมการที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช และพิจารณาว่าควรจัดการรักษาผู้มีบุตรยากอะไรบ้างให้อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ ซึ่งมีตั้งแต่ขั้นตอนง่าย ๆ ไปจนถึงยาก โดยจะสัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายในแต่ละรายการ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการรักษาผู้มีบุตรยาก 100 คน จะสำเร็จประมาณ 30 คน ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงตั้งแต่หลักแสนบาท ไปจนถึงหลักล้านบาท
ด้าน รศ.นพ.สุภักดี จุลวิจิตรพงษ์ อาจารย์ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การรักษาโรคมีบุตรยากอาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งเพื่อเพิ่มอัตราการเกิด เพราะคนที่มีปัญหานี้มีประมาณ 10-15% เท่านั้น ขณะที่ค่ารักษามีบุตรยากอยู่ที่ว่าจะรักษาอะไร บางอย่างไม่สูง เช่น ยากระตุ้นการตกไข่ การฉีดอสุจิผสมเทียม เป็นต้น
รศ.นพ.สุภักดี กล่าวต่อว่า แต่หากใช้เทคโนโลยีระดับสูง เช่น เด็กหลอดแก้วค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องนำเข้าจากต่างประเทศ 100% อีกทั้งสถานพยาบาลที่ทำเด็กหลอดแก้วยังมีน้อย ส่วนใหญ่กระจุกตัวใน กทม. และจังหวัดใหญ่ ที่สำคัญคือ 90% เป็นสถานพยาบาลเอกชน จึงต้องทบทวนว่าจะมีความคุ้มค่าหรือไม่ เพราะค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นตามอายุของผู้หญิงที่เข้ามารับการรักษา ตรงกันข้ามอัตราความสำเร็จก็จะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย
เช่น ผู้หญิงอายุน้อยกว่า 30 ปี โอกาสสำเร็จมากกว่า 50% แต่หากอายุ 40 ปี โอกาสสำเร็จไม่ถึง 5-10% ดังนั้นต้องคำนวณว่าการได้เด็ก 1 คน จากการทำเด็กหลอดแก้วจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไร ซึ่งในอิสราเอลมีการศึกษาพบว่าเด็กที่เกิดจากเด็กหลอดแก้ว 1 คน มีค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ล้านบาท แล้วไทยก็ต้องถามว่าเราต้องการเด็กหลอดแก้วจำนวนเท่าไรที่จะเพียงพอต่อการเพิ่มอัตราการเกิด ดังนั้น ต้องมีการคิดอย่างรอบคอบ เพราะเป็นการลงทุนที่สูง ที่สำคัญคือเข้าได้กับบริบทของประเทศไทยหรือไม่
ดังนั้นต้องมามองว่าปัญหาจริง ๆ ของการเกิดน้อยในไทยอยู่ที่ตรงไหน แต่ปัญหาที่ทำให้เด็กเกิดน้อย คือเรื่องค่านิยมที่ไม่อยากมีลูก ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้มีปัญหามีลูกยาก หากต้องการให้เกิดพลัง และสร้างการเปลี่ยนแปลง ต้องมาดูว่าคนเหล่านี้ไม่พร้อมมีลูกเพราะอะไรแล้วเข้าไปส่งเสริม ช่วยเหลือ เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มอัตราการเกิดได้ ส่วนการมีลูกยากเป็นเพราะว่าไม่พร้อมจะมีลูกในวัยที่สมควร เช่น วัย 20-30 ปีมีความพร้อมทางด้านร่างกายมากที่สุด แต่กว่าจะพร้อมมีลูกจริง ๆ เมื่ออายุ 39-40 ปีขึ้นไป จึงเป็นปัญหาสะสมเรื้อรัง
รศ.นพ.สุภักดี กล่าวว่า ต้องปรับค่านิยมให้เริ่มคิดมีครอบครัวที่สมบูรณ์ในวัยที่เหมาะสม 30 ปีต้น ๆ ภาครัฐและเอกชนต้องสนับสนุนคนกลุ่มนี้พร้อมจะมีลูกในวัยเหมาะสม ที่ตนอยากเสนอคือ 1.สร้างสถานเลี้ยงเด็กให้เพียงพอ มีคุณภาพ ไว้ใจได้ เพื่อให้พาลูกมาฝากเลี้ยงในช่วงเวลาทำงาน เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
2.ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็ก ปัจจุบันมีราคาแพงมาก ไม่ว่าจะเป็นนม เสื้อผ้าเด็กอ่อน หากมีการสนับสนุน เช่น นโยบายคนละครึ่ง ค่านมคนละครึ่ง ค่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปคนละครึ่ง ของใช้เด็กอ่อนคนละครึ่ง เพื่อแบ่งเบาภาระทำให้คนอยากจะมีลูกมากขึ้น เป็นต้น
3.จูงใจด้วยนโยบายลด หรือละเว้นภาษีสำหรับคนที่มีลูกในช่วงอายุที่เหมาะสม ต่อเนื่องกี่ปี หรือมีสิทธิพิเศษสำหรับคนมีลูกเล็ก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายโรงเรียนอนุบาลเอกชนแพงมากหากมีโรงเรียนอนุบาลของรัฐที่มีคุณภาพ จะทำให้คนไม่ต้องเสียเงินพาลูกเข้าโรงเรียนเอกชนราคาแพง
"การลดภาระในการมีลูกนั้นจะเป็นการกระตุ้น ส่งเสริมอัตราการเกิดในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน ส่วนการรักษาโรคมีบุตรยากนั้นยังต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่า บริบทประเทศไทยพร้อมที่จะลงทุนหรือไม่ สถานพยาบาลสามารถรองรับได้มากแค่ไหน แล้วจริงๆ คนที่รักษาภาวะมีลูกยาก ส่วนหนึ่งมีฐานะที่จะซับพอร์ตตรงนี้ได้อยู่แล้ว" รศ.นพ.สุภักดี กล่าว