รีเซต

สัญญาณเตือนโลกร้อน สรุปพายุคัลแมกี–ฟงวอง ถล่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสัปดาห์เดียว

สัญญาณเตือนโลกร้อน สรุปพายุคัลแมกี–ฟงวอง ถล่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสัปดาห์เดียว
TNN ช่อง16
10 พฤศจิกายน 2568 ( 15:31 )
6

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอมรสุมจากพายุหนักถึงสองลูก และเป็นพายุไต้ฝุ่นที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก โดยที่ไทยถือว่า ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเวียดนาม และฟิลิปปินส์ ที่ทั้งน้ำท่วม บ้านเรือนพังทลาย ผู้คนสูญหาย และเสียชีวิตจำนวนมาก

พายุลูกแรกนั้น คือพายุ “คัลแมกี” (KALMAEGI) ที่ขึ้นฝั่งเวียดนาม และฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ด้วยแรงลมสูงสุด 149 กม./ชม. อิทธิพลของพายุส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ลมกระโชกแรง และน้ำท่วมฉับพลัน มีรายงานความเสียหายในเวียดนามว่า บ้านเรือนพังเสียหายกว่า 3,000 หลังคาเรือน ต้นไม้หักโค่นจำนวนมาก กว่า 1,600,000 ครัวเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ขณะพายุพัดขึ้นฝั่ง เรือประมงอับปาง 11 ลำ และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 คน 

ขณะที่ในฟิลิปปินส์นั้น เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือน และพื้นที่เพาะปลูกทั่วเกาะ และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 188 คนทั่วประเทศ 

ภายหลังที่พายุคัลแมกีขึ้นฝั่งเวียดนาม และฟิลิปปินส์แล้ว ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชัน เคลื่อนผ่านประเทศลาวเข้าสู่ จังหวัดอุบลราชธานี ส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น โดยพื้นที่ เสี่ยงฝนตกหนักมาก (มากกว่า 90 มิลลิเมตร) อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 

แต่พายุที่เพิ่งผ่านไปไม่ทันไร ก็มีการแจ้งเตือนพายุอีกลูก นั่นก็คือพายุฟงวอง (FUNG-WONG)  ที่ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก ทวีกำลังขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และมีทิศทางเคลื่อนตัวใกล้เกาะลูซอน ทางตอนบนของฟิลิปปินส์ ซึ่งจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็น “ซูเปอร์ไต้ฝุ่น” หรือเทียบเท่ากับพายุเฮอริเคนระดับ 4 ก่อนพัดขึ้นฝั่งในช่วงเย็นวันที่ 9 พ.ย. ส่งผลให้ฟิลิปปินส์ที่ยังอยู่ในความเสียหายจากคัลแมกี เจอพายุอีกลูกซ้ำอีกครั้ง 

โดยทางการฟิลิปปินส์ได้มีการอพยพประชาชนมากถึง 1 ล้านคน ปิดสถานศึกษาและสถานที่ราชการทั่วเกาะลูซอน รวมถึงที่กรุงมะนิลาต่อจนถึงวันนี้เพื่อความปลอดภัย ซึ่งสํานักงานป้องกันภัยพลเรือนรายงานว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และหน่วยงานกํากับดูแลการบินพลเรือนได้ปิดสนามบินหลายแห่ง และเที่ยวบินยกเลิกเกือบ 300 เที่ยว

หลังจากขึ้นฝั่งที่ฟิลิปปินส์แล้ว พายุฟงวองมีทิศทางเคลื่อนไปทางเหนือ โดยคาดว่าจะมุ่งไปยังประเทศจีนตอนใต้ และเกาะไต้หวันในช่วงวันที่ 10-13 พ.ย. โดยพายุลูกนี้ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงและไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย

พายุที่รุนแรงมากขึ้น และความผิดปกติของสภาพอากาศ

แม้ว่าเวียดนาม และฟิลิปปินส์นั้น จะเป็นประเทศที่อยู่ในพื้นที่ที่เจอพายุอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น นักวิชาการก็มองว่า พายุที่เกิดขึ้นในรอบนี้มีความผิดปกติ ที่มาจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง และโลกร้อน

โดยปกติแล้วในฤดูมรสุมเวียดนามมักจะเผชิญกับพายุหมุนเขตร้อนเฉลี่ยปีละ 10 ลูก แต่พายุ “คัลแมกี” นับเป็นพายุลูกที่ 13 ของปี และสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับเวียดนาม ในขณะที่ฟิลิปปินส์ - ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่ระบบสภาพอากาศเขตร้อนของมหาสมุทรแปซิฟิกก่อตัวขึ้น เป็นหนึ่งในประเทศที่เปราะบางที่สุดในโลกต่อพายุไซโคลน โดยเจอพายุมากกว่า 20 ลูกในทุกปี 

แต่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าเหตุการณ์รุนแรงดังกล่าวอาจเกิดขึ้นบ่อยขึ้นเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น โดยมหาสมุทรที่อุ่นขึ้นควบคู่ไปกับบรรยากาศที่อุ่นขึ้น ได้ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  มีศักยภาพที่จะทําให้การก่อตัวขึ้นรุนแรงขึ้น อาจนําไปสู่ความเร็วลมที่สูงขึ้น ปริมาณน้ําฝนที่หนักขึ้น และความเสี่ยงต่อน้ําท่วมชายฝั่งที่มากขึ้น

ซึ่งการที่พายุคัลเมกีเข้าไทย ในช่วงฤดูหนาวเอง ก็ถือว่าผิดปกติเช่นกัน โดยอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาชี้ว่า ในอดีตเคยมีพายุเข้าในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณทุก ๆ 10 ปี (ได้แก่ ปี 2517, 2527, และ 2539) แต่การที่พายุจะเข้ามาในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้ ถือว่า ห่างหายไปนานเกือบ 30 ปี ยิ่งเน้นชัดว่า โลกร้อน และแปรปรวนนั้น ส่งผลกระทบต่อภัยพิบัติที่หนักขึ้น และมันเริ่มขึ้นจริงๆ แล้ว 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง