สทป. ส่งมอบจรวดหลายลำกล้อง D11A และจรวดหลายลำกล้อง DTI-1G นำวิถี พร้อมปืนใหญ่รุ่นใหม่ให้กับกองทัพบกไทย

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) จัดพิธีส่งมอบยุทโธปกรณ์รุ่นใหม่ให้กองทัพบกอย่างเป็นทางการ ภายในอาคารชาเลนเจอร์ 1–2 ในพื้นที่จัดแสดงของกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ. อานุภาพ ศิริมณฑล หัวหน้าคณะนายทหารเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา กองทัพบก เป็นผู้แทนรับมอบยุทโธปกรณ์จำนวน 3 รายการสำคัญ ซึ่งเป็นผลงานวิจัยร่วมระหว่าง สทป. และกองทัพบก
ยุทโธปกรณ์ที่ส่งมอบประกอบด้วย
1. ต้นแบบรถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A
2. ปืนใหญ่เบาขนาด 105 มม. แบบ CS/AH2
3. จรวดหลายลำกล้องนำวิถีแบบ DTI-1G
“D11A” รถยิงจรวดอเนกประสงค์ ระยะยิงไกลสุดกว่า 450 กม.
จุดเด่นของการส่งมอบครั้งนี้คือ รถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A ซึ่ง สทป. วิจัยร่วมกับบริษัท Elbit Systems จากอิสราเอล โดยพัฒนาระบบควบคุมการยิงให้รองรับกระสุนหลายขนาด ได้แก่
ขนาด 122 มม. ระยะยิง 40 กม.
ขนาด 306 มม. ระยะยิง 150 กม.
ขนาด 370 มม. ระยะยิง 300 กม.
มีรายงานว่านอกจากการยิงจรวดหลายมาตรฐานแล้ว ระบบยังรองรับอาวุธแบบ “บินตรวจการณ์อเนกประสงค์” ที่สามารถปล่อยออกไปค้นหาเป้าหมาย ก่อนแปรสภาพเป็นจรวดโจมตี หรือหากไม่ยิงทำลาย ก็สามารถบินกลับมาที่ฐานเพื่อนำกลับมาใช้งานใหม่ ทำให้เป็นระบบที่ได้ทั้งการลาดตระเวนและการยิงระยะไกลในระบบเดียวกัน
ปืนใหญ่ 105 มม. รุ่นใหม่ พร้อมระบบเล็งอัตโนมัติ
ปืนใหญ่เบาขนาด 105 มิลลิเมตร แบบ CS/AH2 ซึ่งส่งมอบให้ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (ศป.) ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากจีน ก่อนนำมาประกอบในประเทศโดยเจ้าหน้าที่ สทป. จุดเด่นคือ
1. ระบบค้นหาพิกัดและชี้ทิศอัตโนมัติ (GPS/INS)
2. กล้องเล็งพาโนรามิกสำรอง
3. ยิงได้แม้ไม่ใช้แผนที่
4. พับลำกล้องจาก “พร้อมยิง” เป็น “เคลื่อนที่” ได้อย่างรวดเร็ว
5. ระยะยิงไกลสุด 20 กม.
อาวุธประเภทนี้เป็นกำลังยิงสนับสนุนระดับกองพันปืนใหญ่สนาม เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการการเคลื่อนย้ายรวดเร็วและความแม่นยำสูง
จรวดนำวิถี “DTI-1G” พิสัย 150 กม. แม่นยำสูง CEP ต่ำกว่า 40 เมตร
อีกหนึ่งยุทโธปกรณ์หลักคือ จรวดหลายลำกล้องนำวิถีแบบ DTI-1G ซึ่งส่งมอบให้กองพลทหารปืนใหญ่ (พล.ป.) โดยอาวุธรุ่นนี้เป็นระบบที่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากจีนและเคยใช้งานจริงในสถานการณ์ชายแดนมาก่อน
คุณสมบัติสำคัญ ได้แก่
1. ระยะยิง 150 กิโลเมตร
2. ระบบนำวิถี GPS/INS ความคลาดเคลื่อน (CEP) < 40 เมตร
3. รัศมีทำลายมากกว่า 70 เมตร
4. ยิงทีละนัดหรือยิงต่อเนื่องได้ (ห่างกัน 10 วินาที/นัด)
5. ติดตั้งบนรถฐานยิงที่มีเกราะป้องกันสะเก็ดระเบิด
6. หนึ่งคันบรรทุกได้ 4 นัด
DTI-1G ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายเป้าหมายสำคัญลึกหลังแนวรบ เช่น ศูนย์บัญชาการ คลังอาวุธ สนามบิน สถานีเรดาร์ และตำแหน่งยิงปืนใหญ่หรือระบบจรวดของฝ่ายตรงข้าม
สทป. เผยนโยบายวิจัยตามความต้องการกองทัพไทย
พล.อ. นภนต์ สร้างสมวงษ์ ประธานกรรมการ สทป. ระบุว่า ยุทโธปกรณ์ทั้งสามรายการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบความต้องการของกองทัพบกเท่านั้น และมุ่งเน้นภารกิจด้านความมั่นคง การป้องกันประเทศ และการป้องปรามภัยคุกคามจากภายนอก ไม่ได้มีเจตนาโจมตีหรือรุกรานประเทศใด
โดยย้ำว่าไทยต้องมีขีดความสามารถป้องกันตนเอง โดยเฉพาะยุทโธปกรณ์นำวิถีที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งจะลดความเสี่ยงของกำลังพล และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาอธิปไตยของชาติ
แผนพัฒนาระยะต่อไปหุ่นยนต์ติดอาวุธ และระบบแอนตี้โดรน
สทป. ระบุว่า นอกจากยุทโธปกรณ์ทั้งสามรายการที่ส่งมอบให้กองทัพบกในครั้งนี้ ยังมีผลงานวิจัยด้านอื่นที่กำลังพัฒนาควบคู่กันไป เช่น หุ่นยนต์ทางยุทธวิธีติดอาวุธซึ่งมาพร้อมกล้องมองรอบทิศ 360 องศาและสามารถใช้ลาดตระเวนแทนกำลังพล
โดยรุ่นต้นแบบได้ส่งมอบให้กองกำลังสุรนารีนำไปทดสอบแล้ว รวมถึงระบบเก็บกู้ทุ่นระเบิดรุ่นใหม่ โดรนทางทหารหลายระดับ เทคโนโลยีต่อต้านโดรน และโครงการยุทโธปกรณ์ขั้นสูงอย่างดาวเทียมบอลลูนเหนือชั้นบรรยากาศ
ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แนวทางการพัฒนาที่มุ่งลดการพึ่งพาการนำเข้า เพิ่มความสามารถด้านวิศวกรรมป้องกันประเทศ และสร้างโครงสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่เข้มแข็งในประเทศไทย
สทป. ระบุเพิ่มเติมว่าเมื่อโครงการวิจัยใดพิสูจน์ประสิทธิภาพและตอบโจทย์กองทัพบกแล้ว จะถูกผลักดันเข้าสู่กระบวนการผลิตจริงในอนาคต เพื่อทำให้ไทยมีความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ในประเทศมากขึ้น ลดภาระงบประมาณ และรองรับสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา หรือพื้นที่ที่จำเป็นอื่น ๆ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
