รีเซต

"หมอมนูญ" ชี้มาตรการสกัดโควิด เริ่มเห็นผล ป่วย-ตายลด อีกไม่นานเลิกปิดเมืองแบบจีน

"หมอมนูญ" ชี้มาตรการสกัดโควิด เริ่มเห็นผล ป่วย-ตายลด อีกไม่นานเลิกปิดเมืองแบบจีน
มติชน
15 เมษายน 2563 ( 09:03 )
224
2
"หมอมนูญ" ชี้มาตรการสกัดโควิด เริ่มเห็นผล ป่วย-ตายลด อีกไม่นานเลิกปิดเมืองแบบจีน
 

เมื่อวันที่ 15 เมษายน นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินหายใจ ประจำโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กส่วนตัวกรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ที่ระบาดในหลายพื้นที่ของประเทศไทยจนรัฐบาลต้องออกมาตรการเข้มด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการทำกิจกรรม และการเดินทางของประชาชนเพื่อควบคุมโรค ว่า ประเทศไทยเรียนรู้จากประเทศจีน รัฐออกมาตรการต่างๆที่นำมาใช้ถูกต้อง ถูกเวลา ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เข้มงวดในการป้องกันคนเดินทางนำเชื้อเข้าจากต่างประเทศ

 

นพ.มนูญ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามประชาชนยังต้องช่วยกัน มีสุขอนามัยที่ดี ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล อย่าเอามือที่ยังไม่ล้างมาจับ หน้า ตา จมูก ปาก สวมหน้ากากอนามัยเวลาอยู่ร่วมกับคนอื่น อยู่บ้าน เว้นระยะห่าง 2 เมตรจากคนอื่น และอีกไม่นานรัฐคงผ่อนปรน ยกเลิกการปิดเมืองเหมือนประเทศจีน

 

ทั้งนี้ข้อความระบุว่า “ช่วงแรกที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศจีน ประเทศตะวันตกดูถูกจีน มองจีนว่าล้าหลัง

1.เมื่อจีนปิดเมืองหรือล็อกดาวน์เมืองอู่ฮั่นวันที่ 23 มกราคม 2563 และอีกหลายๆเมืองในมณฑลหูเป่ย ห้ามคนเข้าออก บังคับให้อยู่แต่ในบ้าน ประเทศตะวันตกวิจารณ์ (criticise) จีนว่าใช้มาตรการโบราณเกือบ 1 พันปี เพื่อรับมือกับโรคระบาดใหม่ เชื่อว่าไม่ได้ผล และกล่าวหาจีนริดรอนสิทธิ และเสรีภาพส่วนบุคคลของประชาชน

2.จีนศึกษาแล้วรู้ว่าการติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบ้าน จึงใช้วิธีแยกคนป่วยทุกคนไม่ว่าป่วยน้อยหรือป่วยหนัก ไม่ให้อยู่บ้านแพร่เชื้อให้คนในครอบครัว คนป่วยหนักเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เปิดโรงพยาบาลสนามให้คนป่วยน้อยอยู่จนหายดีแล้วถึงให้กลับบ้าน รับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์จากเมืองอื่นๆมาช่วยแบ่งเบาภาระ แต่ประเทศตะวันตกไม่ทำตาม ปล่อยให้คนติดเชื้อที่ป่วยไม่มาก กักตัวเองในบ้าน สุดท้ายแพร่เชื้อต่อให้คนในบ้าน

3.จีนเชื่อว่าโรคโควิด-19 ติดต่อได้ทั้งละอองใหญ่ ละอองฝอย (aerosol) และการสัมผัสเชื้อทางมือ ให้ความสำคัญทั้งการเวันระยะห่าง การใส่หน้ากากอนามัย และการล้างมือ คนจีนทุกคนใส่หน้ากาก แต่ประเทศตะวันตกคิดต่าง ตอนแรกไม่เชื่อว่าโรคโควิด-19 ติดกันได้ทางการหายใจ แนะนำให้คนทั่วไปไม่ต้องใส่ ให้คนป่วยเท่านั้นใส่หน้ากาก คนตะวันตกเห็นคนเอเชียใส่หน้ากากจะรังเกียจ ไม่ยอมเข้าใกล้ เพิ่งจะไม่นานมานี้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา(CDC) กลับลำยอมรับว่าผู้ป่วยโรคโควิด-19 บางรายที่ไม่มีอาการ หรืออยู่ในระยะฟักตัว สามารถแพร่เชื้อได้ทางการพูด การหายใจ โดยไม่จำเป็นต้องไอหรือจาม เริ่มรณรงค์ให้ประชาชนทุกคนสวมหน้ากากอนามัยเวลาอยู่ในที่สาธารณะ เลิกรังเกียจคนสวมหน้ากากอนามัย ควรจะขอบคุณเขาที่ใส่ จะได้ช่วยลดการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ประเทศต่างๆในยุโรปขณะนี้เริ่มทำตาม

 

หลังจากที่จีนใช้มาตรการเข้มงวด ปิดเมืองอู่ฮั่น ห้ามเดินทาง ห้ามออกนอกบ้านทั้งหมดนาน 76 วัน จำนวนผู้ป่วยใหม่โรคโควิด-19 ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดจีนเปิดเมืองอู่ฮั่นวันที่ 8 เมษายน ก่อนหน้านี้ได้เปิดหลายเมืองแล้วในมณฑลหูเป่ย คนจีนทุกคนยังสวมหน้ากากอนามัยเหมือนเดิมเวลาออกนอกบ้าน จีนใช้มาตราเข้มงวดมาก ป้องกันคนเดินทางจากต่างประเทศนำเชื้อเข้า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดรอบ 2

 

ประเทศตะวันตกเคยคิดว่ายังไงก็รับมือโรคโควิด-19 ไหว เพราะมีระบบสาธารณสุข มีแพทย์ บุคลากร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ดีกว่าประเทศจีน ปัจจุบันยอมรับว่าคิดผิด ให้ความสำคัญของโรคโควิด-19 ต่ำเกินไป (underestimate) คิดว่าเชื้อโควิด-19 แรงกว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ไม่มาก ไม่มีการเตรียมตัวรับมือทั้งๆที่มีเวลาเป็นเดือน ไม่เรียนรู้จากจีน ไม่สนับสนุนให้ทุกคนสวมหน้ากาก ปัจจุบันมากกว่า 3/4 ของยอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ทั่วโลก พบในประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกา ต้นเดือนกุมภาพันธ์สหรัฐอเมริกาห้ามเดินทางไปมากับจีน แต่ปล่อยให้เดินทางได้กับยุโรป ในที่สุดรัฐฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริการับเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ยุโรปจากอิตาลี

 

ขณะนี้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก(ดูรูป) ยกตัวอย่าง นครนิวยอร์ก (New York City) เพิ่งจะรายงานผู้ป่วยโรคโควิด-19 คนแรก วันที่ 1 มีนาคม ภายในเวลา 1 เดือนครึ่งยอดจำนวนผู้ป่วย 1 แสนกว่าคน เสียชีวิตแล้ว 11,000 คน มากกว่าประเทศจีนทั้งประเทศ ถึงแม้จะล็อกดาวน์ปิดเมือง เว้นระยะห่างทางสังคม ขอร้องให้ทุกคนอยู่ในบ้านเหมือนจีน โรงพยาบาลในนครนิวยอร์กเนืองแน่นไปด้วยคนไข้ เครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอ แพทย์ต้องตัดสินใจใครอยู่ ใครไป ผมเห็นภาพโรงพยาบาลในนครนิวยอร์กที่ผมเคยทำงานก่อนกลับประเทศไทยทางข่าวในโซเชี่ยลมีเดีย คนไข้นอนในรถเข็น ห้องฉุกเฉิน ห้องไอซียู คลาคล่ำด้วยคนไข้ คนเสียชีวิตต้องใส่ในตู้คอนเทนเนอร์แช่เย็น ไม่เคยเห็นเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน ดูแล้วน่าสงสารมาก

 

ประเทศไทยเรียนรู้จากจีน รัฐออกมาตรการต่างๆที่นำมาใช้ถูกต้อง ถูกเวลา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เข้มงวดในการป้องกันคนเดินทางนำเชื้อเข้าจากต่างประเทศ ด้านประชาชนเราต้องช่วยกัน มีสุขอนามัยที่ดี ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล อย่าเอามือที่ยังไม่ล้างมาจับ หน้า ตา จมูก ปาก ใส่หน้ากากอนามัยเวลาอยู่ร่วมกับคนอื่น อยู่บ้าน เว้นระยะห่าง 2 เมตรจากคนอื่น อีกไม่นานรัฐคงผ่อนปรน ยกเลิกการปิดเมืองเหมือนประเทศจีน”

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง