สรุปสถานการณ์ชายแดนล่าสุด กองทัพไทย - กัมพูชา ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่

เฟซบุ๊กเพจ “PR Cambodian Government” ของรัฐบาลกัมพูชา ได้โพสต์ภาพการถอนกำลังและอาวุธหนัก พร้อมข้อความระบุว่า “กองทัพกัมพูชา-ไทย เริ่มถอนอาวุธหนักจากชายแดนกลับสู่ฐานทัพเดิมในระยะที่ 1 โดยทั้งสองฝ่ายเริ่มภารกิจร่วมกันเมื่อเวลา 18.00 น. วานนี้ (1 พฤศจิกายน) ถือเป็นการขนส่งอาวุธหนักจากชายแดนที่เป็นข้อพิพาทระหว่างสองประเทศกลับไปยังฐานทัพเดิม โดยอาวุธหนักที่กัมพูชาถอน วานนี้ ส่วนใหญ่เป็นปืนใหญ่ รถจิ๊บ ปืนใหญ่155 มม. อัตตาจร และ จรวด หลายลำกล้อง BM21
สำหรับการเตรียมถอนอาวุธหนักออกจากชายแดนครั้งนี้ ดำเนินการภายใต้การสังเกตการณ์และตรวจสอบยืนยันโดย คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ Team - AOT ซึ่งการถอนอาวุธหนักของกองทัพกัมพูชา ออกจากพื้นที่ชายแดนกลับไปยังฐานที่ตั้งเดิม ถือเป็นระยะที่ 1 ของแผนการปฏิบัติที่ได้ประสานงานกับกองทัพของไทย กระบวนการนี้กำลังดำเนินการตามแนวชายแดนที่ปราสาทพระวิหารและอุดรมีชัย
ทั้งนี้คณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) ตกลงร่วมกันสำหรับกองทัพกัมพูชาและไทย มีกำหนดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ระยะแรกมุ่งเน้นไปที่การถอนอาวุธประเภท A โดยเฉพาะเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง โดยเฉพาะ BM-21ซึ่งกองทัพกัมพูชา ได้ยิงเข้ามาฝั่งไทย จนทำให้พลเรือนไทยเสียชีวิตหลายราย
ด้าน พลโทอดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานหลังการลงนามข้อตกลงร่วมด้านความมั่นคงระหว่างไทย–กัมพูชา ซึ่งเริ่มถอนอาวุธหนักในระยะที่ 1 ว่า ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียดตามแนวชายแดน
หลังจากดำเนินการครบทั้ง 3 ระยะแล้ว จะเป็นข้อตกลงระดับรัฐบาล เรื่องความร่วมมือเพื่อสันติภาพชายแดน โดยกองทัพภาคที่ 2 ของไทย จะประสานกับ ภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา เพื่อดำเนินการตาม 4 ประเด็นสำคัญ ที่เห็นพ้องร่วมกันเป้าหมาย คือ การสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง ลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความไว้วางใจระหว่างกัน
พร้อมยืนยันจุดยืนของไทยว่า จะยังไม่มีการเปิดด่านชายแดนในระยะนี้ จนกว่าจะมีการประเมินร่วมกันอย่างรอบคอบว่าความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกันได้สิ้นสุดลงจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ (3 พฤศจิกายน) รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศ และ กองทัพจะมีการแถลงความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชา
สำหรับการถอนอาวุธ จะดำเนินการ 3 เฟส เฟสแรกคือ ภายใน 21 วัน จะต้องถอนอาวุธที่มีประสิทธิภาพการทำลายล้างสูง เช่น BM-21 และปืนใหญ่ที่มีขนาด 125 มิลลิเมตร เพราะหากยิงเข้ามาสามารถทำให้ประชาชนเดือดร้อน และมีอันตรายสูง ขณะนี้ไทย-กัมพูชา จึงทยอยถอนอาวุธออกจากแนวชายแดน กลับไปยังที่ตั้งปกติ
ส่วนสถานการณ์บริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว กองกำลังบูรพา โดย หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ และ กองร้อยทหารพรานที่ 1202 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยตรวจพบทุ่นระเบิดเพิ่ม เป็นระเบิดสังหารบุคคลชนิด MN79 จำนวน 1 ทุ่น อยู่ในสภาพพร้อมทำงาน
ทั้งนี้ชุดลาดตระเวนได้ตรวจพบในพื้นที่ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ ระหว่างปฏิบัติการได้กั้นพื้นที่ และตั้งแนวเขตอันตราย พร้อมติดป้ายเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณจุดที่พบ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนความปลอดภัย โดยใช้เครื่องมือพิเศษในการเก็บกู้และเคลื่อนย้ายทุ่นระเบิดออกจากจุดที่พบได้สำเร็จ นอกจากนี้ หน่วยเก็บกู้ได้ตรวจค้นพื้นที่โดยรอบในรัศมีใกล้เคียง เพื่อค้นหาทุ่นระเบิดเพิ่มเติม แต่ไม่พบวัตถุระเบิดอื่นแต่อย่างใด
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเดินทางกลับจากการประชุมเอเปค ว่า รัฐบาลจะใช้วิธีการทุกอย่าง ทั้งด้านความมั่นคง การเจรจาตามกรอบ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC),คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC )และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC )ที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดสันติสุข ส่วนกรณีที่มีการพูดถึงเรื่อง ไทยรุกล้ำเขตแดนกัมพูชาก่อนหน้านี้ นายกฯ ได้กล่าวขออภัยประชาชน พร้อมโทษตัวเองว่า มีความผิดพลาดและบกพร่องในเรื่องของการสื่อสารต่อประชาชน และจะระมัดระวังไม่ให้เกิดความบกพร่องในการสื่อสารเกิดขึ้นอีกในอนาคต
พร้อมระบุว่า ขออภัยที่ทำให้หลายฝ่าย เกิดความระแวงสงสัย แต่ขอยืนยันว่า ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะเสียดินแดน เสียอธิปไตย เสียเกียรติภูมิ เสียศักดิ์ศรี และประชาชนทุกคนต้องมีความปลอดภัย จากข้อพิพาทระหว่าง 2 ประเทศ ตนเองจะไม่ยอมให้เกิดความสูญเสีย เพิ่มขึ้นอีกเป็นอันขาด
ส่วนการที่กัมพูชาถอนจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ออกจากพื้นที่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หลังมีการลงนามทั้ง 2 ประเทศ แสดงเจตนารมย์ต่อกัน โดยถอนรถถังฝ่ายละ 2 คัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างต้องปฏิบัติ โดยกองทัพของทั้ง 2 ประเทศได้มีการเจรจากันอยู่ตลอดเวลาในการกำหนดมาตรการ และวิธีการ ที่จะถอนอาวุธ รวมถึงการเก็บกู้ทุนระเบิด ที่มีความอันตราย ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ และคำนึงถึงปฏิญญาที่ลงนามกันไว้
ส่วนความกังวลของประชาชน ที่เกรงว่า ไทยจะเสียปราสาทตาควาย นั้น นายกฯ กล่าวว่า มีกรอบในการเจรจา ซึ่งเป็นวิธีที่มีมาแต่เดิม และการลงนามในปฏิญญาก็ถือเป็นการกำหนด ที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ทั้ง 2 ฝ่าย ต้องยึดกรอบการเจรจา ขณะที่ ความชัดเจนเรื่องการเปิดด่านชายแดน หลังมีกระแสข่าวว่า มีความพยายามที่จะเปิดด่าน นายกฯ ระบุว่า ไม่ได้คุย กับนายกฯ กัมพูชา ในประเด็นดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า หากรัฐบาลจะเปิดด่าน ต้องขอความเห็นประชาชนก่อน และจะไม่เปิดด่านจนกว่าจะมั่นใจว่า ภัยต่อความมั่นคงลดลง
ส่วนประเด็นเรื่องของเชลยศึก ที่จะขอลี้ภัยในประเทศไทย นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในปฏิญญา และฝ่ายไทยเป็นผู้กำหนด โดยจะประเมินว่า หากฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือ และมีเจตนารมย์ที่ดี ก็จะพิจารณาโดยไม่มีการกำหนดเรื่องกรอบระยะเวลา และไม่อยากให้ใช้คำว่าเชลยศึก แต่เป็นผู้ถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนเรื่องของการลี้ภัย ก็มีกฎกติกาสากลกำหนดไว้อยู่แล้ว แต่ไม่อยากให้นำชีวิตคนมาเป็นตัวประกัน โดยต้องประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะพิจารณา
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
