"Alibaba" รุกตลาดหุ่นยนต์อัจฉริยะสู่สมรภูมิโลก

Lin Junyang หรือ Justin Lin หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ Qwen หน่วยงานด้าน เอไอ ของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้โพสต์ข้อความผ่านทางแพลตฟอร์ม เอ็กซ์ ถึงการจัดตั้งทีมพัฒนาหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นการเข้าสู่อุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย เอไอ ของบริษัทฯ เขาเขียนไว้ว่า "เผื่อใครยังไม่รู้ ผมได้ตั้งทีมเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ และ เอไอ ภายใน Qwen "
และบอกอีกว่า "โมเดล เอไอ ที่เข้าใจหลายรูปแบบข้อมูล กำลังถูกพัฒนาให้กลายเป็น เอเจนต์อัจฉริยะ ที่สามารถใช้เครื่องมือและความจำ เพื่อคิดวิเคราะห์เรื่องซับซ้อน หรือวางแผนระยะยาวได้ โดยอาศัยเทคนิคการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก และสมควรอย่างยิ่งที่จะให้ก้าวออกจากโลกเสมือนไปสู่โลกจริง"
โดย Qwen นอกจากจะเป็นหน่วยงานด้าน เอไอ แล้ว ยังเป็นชื่อของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ ของอาลีบาบา เป็นโมเดลแบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ด้าน Eddie Wu ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ อาลีบาบา กล่าวไว้เมื่อปลายเดือนกันยายน ที่ผ่านมา คาดการณ์ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า การลงทุนด้าน เอไอ ทั่วโลก จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับบริษัทฯ อาลีบาบา วางแผนที่จะเพิ่มงบลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เอไอ มากขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า จากเดิม 53,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการ เอไอ แบบครบวงจรชั้นนำของโลกและเมื่อเดือนที่แล้ว ยังได้นำเงินทุนจำนวน 140 ล้านดอลลาร์ ไปลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพด้านหุ่นยนต์ของจีน คือ X Square Robot อีกด้วย
บลูมเบิร์ก รายงานว่า อาลีบาบา ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองหางโจว กำลังทุ่มทรัพยากรเข้าสู่การพัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะ เช่นเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น SoftBank และ Nvidia ที่มองว่าเทคโนโลยีนี้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญในอนาคต โดย SoftBank เพิ่งประกาศข้อตกลงซื้อธุรกิจหุ่นยนต์ของ ABB บริษัทวิศวกรรมสัญชาติสวิส ด้วยมูลค่ากว่า 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของ มาซาโยชิ ซัน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ของ ซอฟต์แบงก์ ในการรุกเข้าสู่ธุรกิจหุ่นยนต์อย่างเต็มตัว หลังจากก่อนหน้านี้ชะลอการลงทุนมาระยะหนึ่ง ซึ่งเขากล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะเร่งกลยุทธ์ Physical AI ซึ่งหมายถึงปัญหาประดิษฐ์ที่ทำงานในโลกจริง ของกลุ่มบริษัทฯ โดยจะผสานเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ากับความสามารถด้าน เอไอ ขั้นสูง
ขณะที่ Jensen Huang ซีอีโอของ เอนวิเดีย ระบุว่า เอไอ และหุ่นยนต์คือโอกาสเติบโตในระยะยาว ในระดับ “หลายล้านล้านดอลลาร์” สำหรับบริษัทฯ Jensen Huang กล่าวในระหว่างการประชุมรายงานประจำปีของบริษัทฯ ยังบอกว่า แม้ในตอนนี้ ธุรกิจหุ่นยนต์ของ เอนวิเดีย ยังมีขนาดเล็ก แต่บริษัทฯ กำลังมุ่งสู่วันที่มีหุ่นยนต์หลายพันล้านตัว รถยนต์อัตโนมัติหลายร้อยล้านคัน และโรงงานหุ่นยนต์อีกหลายแสนแห่งที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีของ เอนวิเดีย อย่างไรก็ดี กระแส เอไอ กำลังถูกพูดถึงในหลายแง่มุม และหนึ่งในนั้น คือการแข่งขันระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ คือสหรัฐฯ และจีน
โดย Joe Tsai ประธานอาลีบาบา กล่าวถึงประเด็นนี้ บอกว่า เมื่อพูดถึง เอไอ แล้ว คงไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นการชนะการแข่งขัน เพราะยังเป็นการแข่งขันแบบมาราธอน และบอกว่า ผู้ชนะในวงการ เอไอ ไม่ควรถูกนิยามว่าเป็นเป็นผู้ที่สร้างโมเดล เอไอ ที่ทรงพลังที่สุด แต่ควรเป็น ผู้ที่สามารถนำไปใช้งานได้เร็วกว่า โดยเส้นทางการพัฒนาโมเดล เอไอ แบบโอเพ่นซอร์ส ที่คุ้มค่าของจีนนั้น เอื้อต่อการนำไปใช้งานจริง ได้รวดเร็ว และแพร่หลายกว่า เมื่อเทียบกับแนวทางของสหรัฐฯ ที่ทุ่มเม็ดเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ระดับล้านล้านพารามิเตอร์
ทั้งนี้ ประธานอาลีบาบา แสดงความคิดเห็น ในงานอีเวนต์ที่จัดขึ้นโดย พอดแคสต์ ออล อิน ของอเมริกา และย้ำว่า ไม่ได้หมายถึงว่าจีนกำลังจะเป็นผู้ชนะในสงครามนี้ แต่ในแง่ของการประยุกต์ใช้จริง และผู้คนที่จะได้รับประโยชน์จาก เอไอ นั้น ถือว่าจีนมีการพัฒนามากกว่า เห็นได้จากสัดส่วนของธุรกิจจีนที่ใช้ เอไอ ในปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 จากเมื่อปีที่แล้วยังมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 8 เท่านั้น
การแสดงความคิดเห็นดังกล่าว เกิดขึ้นในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของอเมริกา และจีน กำลังทุ่มงบมหาศาลไปกับโครงสร้างพื้นฐานเอไอ และทรัพยากรด้านการประมวลผล เพื่อแข่งขันกันในสนามปัญญาประดิษฐ์ระดับโลก และ การเดิมพันของอาลีบาบาในด้าน อีคอมเมิร์ซ และ เอไอ ผลักดันให้ ปีนี้ ราคาหุ้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า เท่าตัว (120%) และทำให้เป็นหนึ่งในหุ้นเทคโนโลยีที่มีผลงานดีที่สุด
เขากล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีการนำ เอไอ มาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบริษัทฯ เอง ตอนนี้ประมาณ ร้อยละ 30 ของโค้ดที่เขียนภายในบริษัทนั้น ถูกสร้างขึ้นโดย เอไอ แล้ว โดยกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนขึ้นในจีน ยังช่วยให้เติบโตทางธุรกิจอีกด้วย
ซึ่งเขาบอกว่า ตอนนี้เราอยู่ในภาวะปกติแบบใหม่ ที่เชื่อว่าสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบสามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น เรารู้ว่าเส้นแดงคืออะไร รู้ว่าควรไปที่ไหนและไม่ควรไปที่ไหน และที่จริงแล้วสิ่งนี้ทำให้สภาพแวดล้อมการดำเนินงานดีขึ้นเพราะสามารถคาดการณ์ได้ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon กล่าวถึงกรณีที่อุตสาหกรรม เอไอ กำลังถูกมองว่าอยู่ในภาวะฟองสบู่ ในงานสัมมนาเทคโนโลยี ที่อิตาลี โดยบอกว่า แม้หลายฝ่ายกังวลถึงฟองสบู่ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่การแตกของฟองสบู่นั้น อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ เพราะจะเป็นการช่วยคัดกรองผู้เล่นที่อ่อนแอออกจากตลาดไป
และบอกว่า การประเมินมูลค่าของบริษัท เอไอ หลายแห่งเริ่ม ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานธุรกิจ และผู้คนกำลังตื่นเต้นกับ เอไอ อย่างมากในช่วงนี้ แต่ก็เชื่อว่า เมื่อฝุ่นจางลงและเห็นว่าใครคือผู้ชนะที่แท่จริง เชื่อว่าสังคมจะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมเหล่านั้น
Jeff Bezos ย้ำว่า นี่คือของจริง และผลลัพธ์จาก เอไอ จะสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับสังคม เช่น การเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุนสินค้า และยกระดับคุณภาพชีวิต
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
