เปิดไทม์ไลน์ "วัคซีนไฟเซอร์" 1.5 ล้านโดส ดีเดย์ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 บุคลากรแพทย์ 5 ส.ค.นี้!
วันนี้ (30 ก.ค.64) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า ขณะนี้วัคซีนไฟเซอร์ทั้งหมดถูกส่งไปเก็บอยู่ในคลังเก็บวัคซีนของบริษัทซิลลิก ฟาร์มา ประเทศไทย จำกัด โดยระหว่างนี้จะส่งตัวอย่างไปตรวจสอบที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คาดว่า จะได้รับผลตรวจสอบคุณภาพวันที่ 2 ส.ค. และในวันที่ 3-4 ส.ค. บริษัทจัดทำระบบตรวจสอบกลับ และแพ็กวัคซีนเพื่อจัดส่ง
ก่อนจัดส่งไปยังหน่วยฉีดวัคซีนในวันที่ 5-6 ส.ค. และในวันที่ 7-8 ส.ค. โรงพยาบาลเตรียมพร้อมฉีดวัคซีน และดีเดย์เริ่มฉีดวัคซีนวันแรก 9 ส.ค.ต่อมากลางเดือนส.ค. จึงจะจัดส่งวัคซีนเข็มที่ 2 สำหรับฉีดในช่วงปลายเดือน
ทั้งนี้ วัคซีนไฟเซอร์ 1 ขวด สามารถฉีดได้ 6 โดส โดสละ 0.3 มิลลิลิตร เข้าชั้นกล้ามเนื้อ โดยฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ และสามารถฉีดได้ตั้งแต่คนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และการจัดเก็บหากจัดเก็บในอุณหภูมิ -90 ถึง -60 องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้ 6 เดือน แต่เมื่อนำออกจากคลังมาเก็บที่หน่วยฉีดซึ่งมีอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้ 1 เดือน จึงต้องมีการวางแผนการฉีดอย่างชัดเจน
ส่วนวัคซีนอีก 1 ล้านโดสที่สหรัฐอเมริกาจะบริจาคให้ไทยเพิ่มเติม นพ.โอภาส กล่าวว่า ได้ทราบเรื่องแล้ว อยู่ระหว่างการพูดคุยหารือรายละเอียด แต่ขอให้ทางการสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ให้ข้อมูล
ส่วนแผนการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งได้รับบริจาคจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 1.5 ล้านโดส มีแผนกระจายให้ 4 ส่วน ดังนี้
กลุ่มที่ 1 บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อใช้เป็นเข็มที่ 3 ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ตั้งเป้าไว้ที่ 700,000 โดส ตามรายชื่อที่ทางโรงพยาบาลส่งชื่อมา
กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังและหญิงตั้งครรภ์ ในพื้นที่ 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตั้งเป้าจำนวน 645,000 โดส
กลุ่มที่ 3 เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ได้รับบริจาค จึงมีนโยบายต้องฉีดวัคซีนให้กับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเน้นเป็นกลุ่มผู้สูงอายุผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรังและหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงคนไทยที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศนักเรียนนักศึกษาตั้งเป้ากลุ่มนี้ 150,000 โดส
กลุ่มที่ 4 สำหรับการทำศึกษาวิจัยโดยการอนุมัติของคณะกรรมการวิจัยจริยธรรมจำนวน 5,000 โดส
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนหลังจากที่ได้รับวัคซีนมาแล้ว ในช่วงวันที่ 2 ส.ค.จะมีการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยรอบการผลิตวัคซีนก่อนจัดส่งให้หน่วยบริการโรงพยาบาลเตรียมความพร้อมในการฉีด.