โรคใหลตาย 10 ข้อต้องรู้ หมอเจดชี้ชาย 30ขึ้นไป เสี่ยงสูง

นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา และเจ้าของเพจ “หมอเจด” เผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับชายไทยวัย 30 ปีที่หลับแล้วไม่ตื่น โดยระบุ 10 ข้อต้องรู้เกี่ยวกับ โรคใหลตาย (Brugada Syndrome) ระบุว่า
1. โรคใหลตาย หรือ Brugada Syndrome (บรู-กาดา)
คือความผิดปกติทางพันธุกรรมของการนำกระแสไฟฟ้าในหัวใจ โดยเฉพาะที่ "โซเดียมแชนแนล" ทำให้การเต้นของหัวใจห้องล่างเกิดการลัดวงจรและเต้นพลิ้วระรัว (Ventricular Fibrillation) อย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดไม่ได้ ผู้ป่วยจะหมดสติและเสียชีวิตขณะนอนหลับทันที เปรียบเสมือนสวิตช์ไฟที่ถูกสับลงโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
2. อาการเป็นอย่างไร?
ความน่ากลัวที่สุดคือผู้ป่วยส่วนใหญ่มัก "ไม่มีอาการนำ" มาก่อน ดูเป็นคนแข็งแรงปกติ แต่ในขณะเกิดเหตุช่วงกลางคืน อาจมีอาการหายใจเฮือกเสียงดัง เกร็ง ชักกระตุก หรือส่งเสียงครางเหมือนละเมอ ซึ่งเกิดจากสมองเริ่มขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง หากคนข้างตัวปลุกไม่ตื่นและไม่เริ่มทำ CPR ทันที ผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่นาที
3. ใครคือกลุ่มเสี่ยง?
ความเสี่ยงสูงสุดพบใน "เพศชาย" วัยทำงานอายุ 30-50 ปี โดยพบมากกว่าผู้หญิงถึง 8-10 เท่า
คาดว่าฮอร์โมนเพศชายมีผลต่อการแสดงออกของยีน นอกจากนี้ยังพบบ่อยในประชากรแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะ "คนไทยภาคอีสาน" หากมีประวัติคนในครอบครัวสายตรงเคยเสียชีวิตกะทันหันขณะหลับ หรือเคยเป็นลมหมดสติบ่อยๆ ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่ต้องรีบตรวจ
4. กินข้าวเหนียวเกี่ยวไหม?
มีความเกี่ยวข้องกันในฐานะ "ปัจจัยกระตุ้น" เพราะข้าวเหนียวเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยเร็วและให้พลังงานสูง เมื่อกินมื้อหนักๆ ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมาจำนวนมาก ซึ่งอินซูลินจะดึงเกลือแร่โพแทสเซียมเข้าเซลล์ ทำให้โพแทสเซียมในเลือดลดต่ำลงชั่วคราว ภาวะนี้ไปกระตุ้นหัวใจที่มีความผิดปกติทางไฟฟ้าอยู่แล้วให้เกิดการลัดวงจรได้ง่ายขึ้น จึงไม่ควรกินอิ่มจัดก่อนนอน
5. ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่ต้องระวัง
นอกจากมื้ออาหารหนักแป้งแล้ว "ภาวะไข้สูง" เป็นตัวกระตุ้นที่อันตรายมาก เพราะความร้อนส่งผลต่อการทำงานของโซเดียมแชนแนลในหัวใจโดยตรง ทำให้วงจรไฟฟ้าผิดปกติได้ง่าย รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์จัด การพักผ่อนน้อย ความเครียด และยาบางชนิด เช่น ยาต้านซึมเศร้า หรือยาแก้แพ้บางตัว ดังนั้นคนที่มีความเสี่ยง เมื่อเป็นไข้ต้องรีบกินยาลดไข้ทันที ห้ามปล่อยไว้
6. ตำนาน "ผีแม่ม่าย" และประวัติศาสตร์
ในช่วงปี พ.ศ. 2520-2530 โรคนี้เคยเป็นข่าวดังระดับโลกเมื่อพบแรงงานไทย โดยเฉพาะชาวอีสานที่ไปทำงานก่อสร้างใน "ประเทศสิงคโปร์" และซาอุดีอาระเบีย นอนหลับและเสียชีวิตจำนวนมากโดยไม่ทราบสาเหตุ ชาวบ้านจึงเชื่อว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์หรือ "ผีแม่ม่าย" มาเอาตัวไป จนกระทั่งวงการแพทย์ตั้งชื่ออาการนี้ว่า SUNDS ก่อนจะค้นพบว่าเป็นโรคพันธุกรรม Brugada ในภายหลัง
7. ต้องไปตรวจอย่างไร?
วิธีคัดกรองเบื้องต้นที่ง่ายและราคาถูกที่สุดคือการทำ "คลื่นไฟฟ้าหัวใจ" (EKG 12-lead) เพื่อหากราฟลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า Brugada Pattern (กราฟยกตัวแบบหลังเต่าหรืออานม้า) หากกราฟปกติแต่แพทย์ยังสงสัยจากประวัติครอบครัว อาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การฉีดยากระตุ้น (Drug Challenge Test) หรือการตรวจพันธุกรรม (Genetic Testing) เพื่อหายีนกลายพันธุ์ SCN5A
8. วิธีการรักษาเป็นอย่างไร?
ปัจจุบัน "ยังไม่มียากิน" ที่รักษาความผิดปกติของยีนนี้ให้หายขาดได้ การป้องกันการเสียชีวิตที่มีประสิทธิภาพที่สุด (Gold Standard) คือการฝัง "เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ" (ICD) เข้าไปในหน้าอก เครื่องนี้จะเฝ้าระวังจังหวะหัวใจตลอด 24 ชม. หากพบว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง เครื่องจะปล่อยไฟฟ้ามาช็อตกระตุกหัวใจให้กลับมาเต้นปกติทันที เหมือนมีหมอฉุกเฉินติดตัว
9. การปฐมพยาบาลคนใหลตาย
หากพบคนนอนหลับแล้วมีอาการเกร็ง หายใจเฮือก หรือปลุกไม่ตื่น ห้ามรอดูอาการและห้ามใช้วิธีไสยศาสตร์ ต้องตั้งสติและเริ่ม "การกู้ชีพ (CPR)" โดยการกดหน้าอกทันทีพร้อมกับโทรแจ้ง 1669 หากบริเวณนั้นมีเครื่อง AED ให้รีบนำมาแปะเพื่อวิเคราะห์จังหวะหัวใจ การช็อกไฟฟ้าจาก AED เป็นวิธีเดียวที่จะหยุดวงจรไฟฟ้าลัดวงจรและดึงชีวิตผู้ป่วยกลับมาได้
10. การใช้ชีวิตร่วมกับโรคนี้
ผู้ที่ตรวจพบว่าเป็น Brugada Syndrome หรือมีความเสี่ยง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีอายุขัยยืนยาวได้ หากปฏิบัติตัวถูกต้อง คือ
1.หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น (แอลกอฮอล์, อาหารมื้อหนักก่อนนอน)
2.รีบลดไข้เมื่อป่วย
3.แจ้งแพทย์ทุกครั้งก่อนรับยาว่ามีความเสี่ยงโรคหัวใจ และที่สำคัญที่สุดคือ "พาญาติสายตรงทุกคนไปตรวจคัดกรอง" เพื่อป้องกัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
