รีเซต

สุวัจน์ ลั่น พรรคชาติพัฒนา ต้องกลับมายิ่งใหญ่เหมือนยุค “น้าชาติ” พร้อมลุยศึกเลือกตั้งสมัยหน้า

สุวัจน์ ลั่น พรรคชาติพัฒนา ต้องกลับมายิ่งใหญ่เหมือนยุค “น้าชาติ” พร้อมลุยศึกเลือกตั้งสมัยหน้า
มติชน
10 ธันวาคม 2564 ( 15:01 )
265

ข่าววันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม จากห้องประชุมลำปลายมาศ ชั้น 4 โรงแรมแคนทารี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา พรรคชาติพัฒนา ได้จัดการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2564 ขึ้น โดยมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา เป็นประธานเปิดการประชุม และมีคณะผู้บริหารพรรคร่วมประชุมพร้อมหน้า อาทิ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคฯ, นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รองหัวหน้าพรรค, นายประเสริฐ บุญชัยสุข รองหัวหน้าพรรคฯ, นายวัชรพล โตมรศักดิ์ รองหัวหน้าพรรคฯ, พลเอกฐิติวัจน์ กำลังเอก รองหัวหน้าพรรค, นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ รองหัวหน้าพรรค, นายดล เหตระกูล เลขาธิการพรรค และสมาชิกพรรคทั่วประเทศ กว่า 1,500 คน

 

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวว่า การประชุมใหญ่สามัญพรรคชาติพัฒนาครั้งนี้ เป็นไปตามกฎหมายของ ก.ก.ต.ที่จะให้เลือกคณะกรรมการเลือกตั้งของพรรค เพื่อที่จะไปจัดหาผู้ที่จะเป็นตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.สมัยหน้า ซึ่งเหลือเวลาอีก 1 ปีกว่า ก็คาดว่าน่าจะมีการจัดเลือกตั้ง ส.ส.ขึ้นทั่วประเทศ โดยพรรคชาติพัฒนาก็รู้สึกเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจมาก จากผลกระทบของการระบาดไวรัสโควิด-19 เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ทำให้ที่ผ่านมาประเทศไทย ต้องกู้เงินมาอุ้มเศรษฐกิจกว่า 2.4 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว GDP ของประเทศปีที่แล้วก็ติดลบ 7% ปีนี้อาจจะติดลบ 1% นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคนก็ยังไม่มา การลงทุนก็ยังซบเซาเหมือนเดิม การว่างงานก็ยังมีมาก แต่ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ก็เริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง จากเดิมที่เคยมีผู้ติดเชื้อสูงถึงวันละ 27,000 คน ระยะนี้ลดลงเหลือวันละ 3,000 – 4,000 คน ก็ถือว่าตัวเลขเริ่มนิ่งแล้ว ทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและนักท่องเที่ยว จึงสามารถเปิดประเทศได้

 

 

โดยช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว รัฐบาลก็ต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นตนเองจึงได้พูดกับสมาชิกพรรคทุกคนว่า ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ให้โฟกัสไปในเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งมีการเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งใหม่ ที่ให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และ ส.ส.เขต จากเดิม 500 คน เปลี่ยนเป็น 400 คน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จาก 150 คน เป็น 100 คน ทำให้ยุทธศาสตร์การเลือกตั้งต้องเปลี่ยน โดยเฉพาะการที่มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพราะใบแรกเลือก ส.ส. ใบที่ 2 เลือกพรรคโดยตรง ซึ่งใบที่ 2 สำคัญมาก เพราะการที่ประชาชนจะเลือกพรรคโดยตรง มีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.นโยบายของพรรค และ 2.พรรคนั้นจะเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นวันนี้จึงกำชับให้ผู้บริหารพรรคและสมาชิกพรรค ช่วยกันจัดทำนโยบายเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจในภาคอีสาน จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีใหม่มาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร เป็นนิวอีโคโนมี เพราะอีกไม่นาน จ.นครราชสีมา ก็จะมีรถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อกับจีน ยุโรป และอเมริกาได้ สามารถส่งสินค้าเกษตรไปได้ทั่วโลกในอนาคต

 

พรรคชาติพัฒนา เคยได้ ส.ส.ถึง 60 คน ในยุคของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าพรรค การเมืองเขาวัดกันด้วยเสียงในรัฐสภา ถ้าเสียงน้อยพูดอะไรไปก็ไม่ค่อยได้ยิน ต้องมีเสียงมากพอสมควรจึงจะได้ยิน แต่ตอนนี้พรรคชาติพัฒนา มีแค่ 4 เสียงเท่านั้น ถือว่าเป็นพรรคขนาดเล็ก วันนี้พรรคชาติพัฒนาต้องพยายามคัมแบคกลับมาเป็นพรรคขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ให้ได้ เราเป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีศัตรู ไม่ขัดแย้งกับใคร วันนี้ความขัดแย้งทางการเมืองถือว่าเป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศอย่างหนึ่ง ทำให้ประเทศชาติขาดพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้นพรรคชาติพัฒนาจะทำการเมืองด้วยความไม่ขัดแย้งกับใคร และที่สำคัญ จ.นครราชสีมา ถือว่าเป็นเรือนตายของพรรคชาติพัฒนา ในอดีตเราเคยได้ ส.ส.ในพื้นที่ จ.นครราชสีมามากถึง 15 คน วันนี้ก็ต้องทำให้ได้ วันนี้ต้องมาวางแผน กำหนดกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้พรรคชาติพัฒนาสามารถคัมแบคกลับมายิ่งใหญ่ใน จ.นครราชสีมาเหมือนในอดีตให้ได้ นายสุวัจน์ฯ กล่าว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง