รีเซต

ญี่ปุ่นคุมเข้มต่างชาติ แต่ต้องไม่เหยียด?

ญี่ปุ่นคุมเข้มต่างชาติ แต่ต้องไม่เหยียด?
TNN ช่อง16
9 พฤศจิกายน 2568 ( 19:30 )
1

รัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นภายใต้นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ เปิดฉากบริหารเดือนแรกด้วยการหยิบประเด็น “ชาวต่างชาติ” ขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ หลังความไม่พอใจของสังคมขยายวงบนโลกโซเชียล มีการประท้วงต้านผู้อพยพเพิ่มขึ้น และตัวเลขชาวต่างชาติในประเทศแตะเกือบ 4 ล้านคน สูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลมา 


นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลสะสมมาจากเศรษฐกิจ และปัญหาโครงสร้างประชากรที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญอย่างหนัก ทั้งแรงงานที่กำลังขาดแคลน ระบบวีซ่าไม่ทันท่วงทีต่อสภาพการณ์จริง ราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่ง และสื่อที่ให้พื้นที่ข่าวอาชญากรรมของชาวต่างชาติจนกระตุ้นความวิตกกังวลของประชาชนให้เข้าโหมด “Xenophobia” หรือโรคหวาดกลัวชาวต่างชาติ


ทำไมต้อง ‘คุมเข้ม’ ขนาดนี้?


ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีระดับสูงเพื่อจัดการหนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่สุดของรัฐบาลใหม่ นั่นก็คือความตึงเครียดทางสังคมต่อจำนวนชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความไม่พอใจที่ปะทุในหลายชุมชนทั่วญี่ปุ่น ทาคาอิจิ ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทำ “แนวทางพื้นฐานด้านชาวต่างชาติ” ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคมปีหน้า เพื่อวางกรอบนโยบายใหม่ที่เข้มงวดขึ้น แต่กำชับว่าต้องไม่สร้างบรรยากาศเหยียดหรือผลักภาคแรงงานต่างชาติออกจากสังคม 


ทาคาอิจิ ระบุชัดว่า รัฐบาลต้องแก้ปัญหาอย่าง “จริงจังและโปร่งใส” แต่ในขณะเดียวกันจะต้องป้องกันไม่ให้มาตรการของรัฐกลายเป็นเชื้อไฟให้ความเกลียดกลัวชาวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญท่ามกลางแรงกดดันของสังคมที่กำลังแบ่งขั้ว การประชุมครั้งแรกสะท้อนว่า ปัญหาที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญไม่ใช่เรื่องเชื้อชาติ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง นโยบายที่ล้าหลัง และการเติบโตของแรงงานต่างชาติที่เร็วกว่าความสามารถของสังคมในการรองรับ โดย 2 ประเด็นหลักที่รัฐบาลภายใต้การนำของทาคาอิจิเน้น คือ 


  1. ป้องกันการละเมิดกฎหมายวีซ่าและการทำงาน


โดยรัฐบาลมองว่าปัญหาการทำงานผิดประเภทและการอยู่เกินกำหนดวีซ่าไม่ได้เกิดจากเจตนาผิดกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่หลายกรณีเป็นผลมาจากสภาพการทำงานที่ไม่เป็นธรรม นายจ้างกดค่าแรงจนแรงงานหลุดจากระบบ รวมถึงช่องโหว่ของโครงการฝึกงานเทคนิคและระบบวีซ่าเดิม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องยกเครื่องระบบกำกับดูแลใหม่ทั้งหมด เพื่อลดทั้งการละเมิดและการเอารัดเอาเปรียบ 


  1. ควบคุมการถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์โดยชาวต่างชาติ 


อีกประเด็นที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในสังคมคือราคาค่าเช่าและราคาที่อยู่อาศัยในบางพื้นที่ที่ “พุ่งขึ้นทันที” หลังมีการซื้อขายโดยนักลงทุนต่างชาติ อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์รายงานว่า บางอาคารกลับเป็นกรรมสิทธิ์ชาวต่างชาติในช่วงสั้นๆ จนทำให้คนท้องถิ่นรู้สึกว่าถูกผลักออกจากตลาดที่อยู่อาศัย 


รัฐบาลจึงเตรียมพิจารณามาตรการควบคุมรวมถึงการเพิ่มความโปร่งใสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพื่อคลายความกังวลของสาธารณชน ขณะเดียวกันต้องรักษาสมดุลไม่ให้มาตรการถูกตีความว่าเป็นการกีดกันหรือจำกัดสิทธิของผู้พำนักต่างชาติที่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย  


ทำไมประเด็นต่างชาติถึงปะทุขี้นมาเวลานี้?


หนึ่งในคำถามสำคัญคือเหตุใดประเด็นชาวต่างชาติในญี่ปุ่นจึงปะทุรุนแรงขึ้นในปี 2025 ทั้งที่ญี่ปุ่นเป็นสังคมเชิงเดี่ยวมานานและเคยเปิดรับแรงงานต่างชาติแบบควบคุมมาหลายปี คำตอบอาจอยู่ที่ “จังหวะ” ของการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินกว่าที่สังคมญี่ปุ่นจะปรับตัวทัน


ข้อมูลจาก Immigration Services Agency ระบุว่า ญี่ปุ่นมีชาวต่างชาติอยู่เกือบ 4 ล้านคน ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูล และเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในรอบสิบปี อัตราการเติบโตเช่นนี้ถือว่าเร็วผิดปกติสำหรับสังคมญี่ปุ่นที่เคยมีสัดส่วนคนต่างชาติในระดับต่ำมาตลอดศตวรรษที่ผ่านมา


ในด้านหนึ่งอย่างภาคธุรกิจ ตั้งแต่โรงงานผลิตอาหาร การบริการ ไปจนถึงการดูแลผู้สูงอายุ ภาคธุรกิจเหล่านี้กำลังขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง เพราะญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะประชากรหดตัวเร็วที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว แรงงานต่างชาติจึงกลายเป็น “แรงขับเคลื่อนจำเป็น” ไม่ใช่เพียงแรงงานเสริมอีกต่อไป 


แต่ทว่าในอีกด้านหนึ่ง สังคมญี่ปุ่นในวงกว้างยังไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้ เมืองเล็กๆ หลายเมืองในประเทศเริ่มมีชาวต่างชาติอยู่อาศัยจำนวนมากในเวลาไม่นาน โรงเรียนต้องรองรับเด็กต่างชาติเพิ่มขึ้น ตลาดเช่าบ้านมีผู้เช่าต่างชาติเข้ามาแทนคนญี่ปุ่น ปรากฏว่า ในเวลาเดียวกันสื่อท้องถิ่นกลับให้พื้นที่และรายงานคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับคนต่างชาติถี่ขึ้น


ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่าง “ความจำเป็นทางเศรษฐกิจของประเทศ” กับ “ความกังวลทางสังคมของประชาชน” จากจังหวะที่เร่งพร้อมกันส่งผลทำให้เหมือนยิ่งราดน้ำมันลงกองไฟ เพราะแรงงานต่างชาติดันเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ราบรื่น เมืองในต่างจังหวัดถดถอย จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ประชาชนบางส่วนจึงรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงถูกยัดเยียดเร็วเกินไป จนเกิดแรงเสียดทานทางสังคมที่ปะทุในปีนี้


สื่อขยายปัญหาน่ากังวล แม้อาชญากรรมลดลง?


อีกแรงกระเพื่อมสำคัญที่ผลักให้ความตึงเครียดเรื่องชาวต่างชาติปะทุคือ “น้ำหนักของสื่อ” ในการรายงานคดีอาชญากรรมที่ผู้ก่อเหตุเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะคดีลักทรัพย์และคดีที่มีภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งกลายเป็นเนื้อหาที่ถูกแชร์ซ้ำบ่อยครั้ง NHK ระบุว่า สื่อญี่ปุ่นให้ความสนใจกับคดีลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าปัญหากำลังลุกลามทั้งที่ข้อมูลจริงซับซ้อนและไม่สอดคล้องกับความรู้สึกเหล่านั้น 


โดยข้อมูลจากสำนักงานตำรวจชี้ว่า ในปี 2024 มีการจับกุมชาวต่างชาติประมาณ 21,000 คดี ซึ่งแม้เพิ่มขึ้นสองปีต่อเนื่อง แต่ยังคงต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของจุดพีคในปี 2005 ที่เคยสูงเกือบ 48,000 คดี ตัวเลขระยะยาวจึงบ่งชี้ว่า อาชญากรรมโดยชาวต่างชาติไม่ได้เพิ่มขึ้นในลักษณะที่ควบคุมไม่อยู่ แต่การนำเสนอซ้ำในสื่อทำให้ “ความรู้สึกไม่ปลอดภัย” ขยายตัวเร็วกว่าความเป็นจริงที่ข้อมูลจริงสะท้อนออกมา 

อสังหาริมทรัพย์ ตัวจุดชนวนความไม่พอใจของคนญี่ปุ่น?


ในเวลาเดียวกัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังกลายเป็นพื้นที่ที่อารมณ์สาธารณะปะทุรุนแรงที่สุด เมื่อสื่ออุตสาหกรรมรายงานว่า ในบางเขตของโตเกียวและเมืองใหญ่ ห้องพักจำนวนมากถูกซื้อโดยผู้ลงทุนต่างชาติภายในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้ค่าเช่าปรับขึ้นทันที สร้างความรู้สึกว่าชาวญี่ปุ่นถูกเบียดออกจากตลาดที่อยู่อาศัยของตนเอง 


สถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจ การเงิน และอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นวิเคราะห์ว่า การขึ้นราคาห้องเช่าในบางพื้นที่ที่แม้ไม่ได้เกิดขึ้นทั่วประเทศ แต่ก็สามารถสร้างแรงสะเทือนกระทบทางจิตใจที่รุนแรงเพราะคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีความคาดหวังว่า บ้านและพื้นที่ที่อยู่อาศัยต้องมั่นคงและคงรูปแบบวิถีชีวิตเดิมของคนญี่ปุ่น


ดังนั้น เมื่อมีข่าวว่าตึกอพาร์ตเมนต์ทั้งหลังถูกซื้อโดยนักลงทุนชาวต่างชาติ พร้อมกับค่าเช่าที่พุ่งสูงขึ้น จึงกลายเป็นสัญญานของ “ความเสี่ยงใหม่” สำหรับชนชั้นกลางญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แม้สัดส่วนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติอาจยังไม่สูง แต่ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงในบางเขต และการขึ้นราคาที่เห็นได้ชัดทำให้ความกังวลขยายเร็วกว่าเหตุการณ์จริงหลายเท่า 


เมืองไหนได้รับผลกระทบชัดสุด? 


ข้อมูลจากนักเศรษฐศาสตร์ด้านอสังหาริมทรัพย์ ชี้ว่า แรงกดดันเฉียบพลันมักเกิดในเมืองใหญ่หรือเมืองที่มีสัดส่วนแรงงานต่างชาติสูงเป็นพิเศษ ได้แก่ 


  • โตเกียว: เขตชิบูยา, อิตาบาชิ, เนริมะ (มีรายงานว่า ค่าเช่าขยับเร็ว)

  • โอซากา: เขตนานิวะ และจูโอ (มีรายงานว่านักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อทั้งล็อบบี้ของอาคาร)

  • โยโกฮามาและไซตามะ เป็นพื้นที่ต่างชาติอาศัยหนาแน่น เพราะใกล้โรงงาน


พื้นที่เหล่านี้มักมีตลาดแรงงานที่ดึงดูดต่างชาติ ทำให้เกิดผลกระทบแบบ “micro shock” คือประชาชนรู้สึกว่าชุมชนที่อาศัยอยู่เปลี่ยนจากที่พวกเขาคุ้นเคยในเวลาไม่กี่ปี 


ผู้เชี่ยวชาญชี้ คนญี่ปุ่นไม่คุ้นกับการมีต่างชาติจำนวนมาก


หนึ่งในเสียงสำคัญที่สะท้อนความท้าทายเชิงโครงสร้างของญี่ปุ่นในปี 2025 มาจาก โซอิจิโร่ อิเคเบะ ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานต่างชาติ ซึ่งระบุว่า ญี่ปุ่นกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่เร็วกว่าความสามารถในการปรับตัวของสังคมโดยรวม เขาอธิบายว่า ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ “ไม่คุ้นเคยกับการมีชาวต่างชาติจำนวนมากอยู่ใกล้ตัวในระยะเวลาอันสั้น” ทำให้ความรู้สึกไม่มั่นคงทางวัฒนธรรมและความกลัวการเปลี่ยนแปลงระเบิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าในอดีต 


อิเคเบะยังชี้ให้เห็นอีกมิติที่ละเอียดอ่อนว่า ชาวต่างชาติที่เพิ่งเดินทางเข้ามาบางส่วนยังไม่เข้าใจบรรทัดฐานทางสังคมของญี่ปุ่น เช่น มารยาทในที่สาธารณะ การใช้ภาษา หรือแนวปฏิบัติในชุมชน ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็มีผู้เข้ามาด้วยความตั้งใจจะทำงานเกินวีซ่าหรืออยู่นอกระบบตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างแรงงานที่มีช่องโหว่และแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เขาระบุว่า ปัญาหาอาชญากรรมบางคดีไม่ได้เกิดจากความตั้งใจผิดกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลสืบเนื่องจากสภาพการทำงานที่ถูกกดดันจนแรงงานหลุดจากระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ค่าแรงต่ำ การถูกเอาเปรียบโดยนายจ้าง หรือข้อกำหนดในโครงการฝึกงานที่เข้มงวดเกินไป 

 

อิเคเบะย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ควรถูกตีความว่าเป็นความผิดของชาวญี่ปุ่นหรือชาวต่างชาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นปัญหาโครงสร้างระดับชาติที่ญี่ปุ่นปล่อยให้สะสมมานาน ทั้งในมิติแรงงาน ภูมิศาสตร์ประชากร การย้ายถิ่น และนโยบายภาครัฐที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก 


ความท้าทายของนายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่


ท่ามกลางแรงกดดันจากทุกทิศทาง รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ต้องเดินบนเส้นทางที่แคบและเสี่ยงที่สุดเส้นหนึ่งในนโยบายสาธารณะยุคใหม่ การรักษาความปลอดภัยและความเป็นระเบียบของสังคม ขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของชาวต่างชาติที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด  


ทาคาอิจิกล่าวอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลต้องไม่สร้างสถานการณ์ที่ทำให้ “คนต่างชาติที่ปฏิบัติตามกฎกลับใช้ชีวิตในญี่ปุ่นยากขึ้นกว่าเดิม” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเธอตระหนักดีถึงความเสี่ยงของการออกนโยบายคุมเข้มเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การตีตรา เหยียดเชื้อชาติ และการถูกโดดเดี่ยวของชาวต่างชาติในสังคมญี่ปุ่น 


คลังสมองวิเคราะห์วิกฤตนี้อย่างไร?


อย่างไรก็ตาม เหล่าคลังสมองเตือนรัฐบาลทาคาอิจิว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ภัยความมั่นคงเชิงเชื้อชาติ แต่เป็นโครงสร้างเศรษฐกิจ-ประชากรที่รัฐปล่อยสะสมมายาวนาน 


สถาบันการต่างประเทศของญี่ปุ่น (JIIA) มองว่า ญี่ปุ่นไม่มีทางหลีกเลี่ยงการเปิดรับต่างชาติ แต่ต้องยกระดับนโยบายความมั่นคงมนุษย์ควบคู่กัน JIIA เตือนว่า หากรัฐบาลตอบโต้ด้วยภาษาทางความมั่นคงหรือ national security เพียงอย่างเดียว อาจยิ่งทำให้กระแส xenophobia ทวีแรงขึ้น และบ่อนทำลาย soft power ของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชีย โดยข้อเสนอของ JIIA มองว่า รัฐต้องวางระบบกำกับดูแลแรงงานต่างชาติที่โปร่งใส ตลอดจนยกระดับระบบความคุ้มครองเพื่อลดกรณีผิดกฎหมายจาก “ความจำเป็น” รวมทั้งสื่อสาธารณะควรนำเสนอให้เกิดความสมดุลในข่าวสารกับข้อเท็จจริง (Balanced Narrative) โดยตีกรอบการนำเสนอไม่ให้สร้างความหวาดกลัว 


ส่วน The Tokyo Foundation for Policy Research เน้นว่า อัตราการชราภาพของญี่ปุ่นเร็วกว่ายุโรปในช่วงวิกฤตผู้อพยพปี 2015 ดังนั้น แรงงานต่างชาติอาจเพิ่มขึ้นแบบ “ก้าวกระโดด” ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า หากไม่มีโครงสร้างรองรับจะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากสาธารณะ (Social Backlash) หนักกว่าเดิม ในเวลาเดียวกัน รัฐก็ต้องสร้างชุมชนที่เชื่อมกันระหว่างคนญี่ปุ่น-ต่างชาติ เช่น ระบบล่ามชุมชน โครงการเรียนรู้วัฒนธรรม เป็นต้น 


สุดท้ายแล้ว เหล่าคลังสมองฉายภาพว่า แรงงานต่างชาติไม่ใช่ภัย แต่เป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของเศรษฐกิจญี่ปุ่นแล้ว การควบคุมอย่างเดียวโดยไม่สร้างระบบสนับสนุน จะยิ่งทำให้ปัญหาผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น และหากญี่ปุ่นยืนอยู่บนวาระ “คุมเข้ม” เพียงด้านเดียว จะเสียเปรียบและเจอสมองไหลไปยังประเทศคู่แข่งทันที   

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง