สมาคมประสาทวิทยา ชี้ไม่จำเป็นต้องหยุดยาแก้ปวดศีรษะไมเกรน ก่อนฉีดวัคซีนโควิด
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน เฟซบุ๊กเพจ “สมาคมประสาทวิทยา แห่งประเทศไทย (The Neurological Society Of Thailand )” ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องหยุดยาแก้ปวดศีรษะไมเกรน ก่อนฉีดวัคซีนโควิด โดยเอกสารดังกล่าวมีเนื้อหาระบุว่า
เนื่องจากประเทศไทย ได้มีการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อให้หยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญในระดับประเทศ ที่คนไทยทุกคนควรได้รับวัคซีนโควิด-19 รวมถึงผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรน
อย่างไรก็ตาม มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยารักษาโรคปวดศีรษะไมเกรน กับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทำให้ผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรนเกิดความกังวลใจ ทางสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และการใช้ยารักษาโรคปวดศีรษะไมเกรน ดังนี้
1.เนื่องจากมีรายงานผลของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทำให้เกิดอาการผิดปกติทางระบบประสาทชั่วคราว เช่น อาการชา หรืออาการอ่อนแรง แต่จากการรวบรวมกรณีศึกษาต่าง ๆ ยังไม่พบว่ามีความผิดปกติจากการตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI Brain) และการตรวจหลอดเลือดในสมอง (MRA หรือ CTA) อย่างชัดเจน อาการดังกล่าวเกิดจากการตอบสนองของร่างกายจากการฉีดวัคซีน ซึ่งเกิดได้กับวัคซีนทุกชนิด และเกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น
2.จากข้อมูลในปัจจุบันจึงแนะนำเรื่องการใช้ยารักษาโรคปวดศีรษะไมเกรนว่า ไม่จำเป็นต้องหยุดยาแก้ปวดศีรษะไมเกรน เช่น ยากลุ่ม acetaminophen ยากลุ่ม NSAIDs ยาที่มีส่วนผสมของ Ergotamine และคาเฟอีน หรือยาในกลุ่มทริปแทน หรือยาป้องกันไมเกรนชนิดต่างๆ ได้แก่ ยาในกลุ่มยากันชัก เช่น Topiramate, Valproic acid ยาในกลุ่มยาต้านเศร้า เช่น Amitriptyline, Venlafaxine ยาในกลุ่มต้านแคลเซียม เช่น Flunarizine ยาในกลุ่มต้านเบต้า เช่น Propranolol และยาป้องกันไมเกรนชนิดอื่นๆ ที่ผู้ป่วยกินอยู่เป็นประจำ
3.หากยังมีความกังวลใจ และต้องการหยุดยาแก้ปวดไมเกรน หรือยาป้องกันไมเกรน ให้ปรึกษาแพทย์ที่รักษา เพื่อวางแผนในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และแนะนำอาการของโรคปวดศีรษะไมเกรนที่อาจจะเกิดขึ้น