Bitcoin ร่วงหนักขนาดนี้ แต่อุปทานของ Stablecoin ยังพุ่ง 180 พันล้านดอลลาร์ เพราะอะไร?
ช่วงนี้ราคาคริปโทเคอร์เรนซี หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล เรียกได้ว่าเข้าช่วงขาลงแบบสุดๆ ด้วยปัจจัยฉุดต่างๆรุมเร้า ทำเอาบรรดานักลงทุนเทขายกันเป็นว่าเล่น แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้อุตสาหกรรมคริปโตโดยรวมติดขัดไปบ้าง แต่อุปทานของ Stablecoin พุ่งสูงถึง 180 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 9.5 พันล้านดอลลาร์
สกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 1,000 สกุลทั่วโลก ดิ่งลงไปต่ำกว่าระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์
ภาคอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ต้องเผชิญวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดเลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่ช่วงที่เฟื่องฟู โดยมูลค่าตลาดทั่วโลกวูบหายไปกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ ท่ามกลางความกังวลต่อการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) โดยพบว่าสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 1,000 สกุล จากตลาดซื้อขายทั่วโลกพบว่ามูลค่าตลาดของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดดิ่งลงไปต่ำกว่าระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564
แม้ Bitcoin ราคาร่วง แต่อุปทานของ Stablecoin พุ่งสูงถึง 180 พันล้านดอลลาร์
นายเฉลิมพล เนียมศรี กรรมการผู้จัดการ บล.พาย เปิดเผยว่าหน่วยงานวิจัยของ Crypto Arcane Research และ CryptoRank ยืนยันว่าอุปทานของ Stablecoin แตะระดับ 180 พันล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย โดยย้ายออกจาก Bitcoin (BTC) เหรียญที่มีเสถียรภาพเป็นที่น่าจับตาในตอนนี้ โดยการเติบโตของ Stablecoin ยังคงแซงหน้าตลาดอื่นๆ เพิ่มขึ้น 6% ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน Stablecoin สามารถให้ราคาที่มีเสถียรภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก specific assets หรือ algorithms
ขณะเดียวกันจากรายงานของ Arcane Research ในเดือนกุมภาพันธ์ 3 เหรียญที่มีเสถียรภาพที่สุด ได้แก่ Tether ( USDT ), USD Coin ( USDC ) และ BUSD คิดเป็น “9% ของ total crypto market cap
นอกจากนี้ ในขณะที่ท่ามกลางความผันผวน อุปทานของ Stablecoin เพิ่มขึ้น 9.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา Arcane Research ระบุว่าในขณะที่ Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดที่ส่วนแบ่งตลาด 44% USDT ได้หยุดนิ่งในช่วงปีที่แล้ว และ USDC ก็กำลังเพิ่มระดับด้วย "การเติบโต 20% ในปี 2022
ส่วน Tether ซึ่งเป็นเหรียญ stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดตามมูลค่าราคาตลาด Tether FUD ที่ทุกคนต่างกังวลว่าเป็นการสิ่งทำลายอุตสาหกรรมการ crypto ในปี 2021 แต่ทิศทาง USDT ในตอนนี้ดูเหมือนกำลังอยู่ในขาขึ้น
รายงานระบุว่าเอกสารรับรองการสำรองล่าสุด บริษัทได้ลดความเสี่ยง commercial paper ลง 21 % และยังกล่าวอีกว่า สินทรัพย์รวมของ Tether เกินหนี้สินรวมแล้ว
ขณะที่กลุ่มนิยมสกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่อาจสงสัยว่า stablecoin มีความสำคัญอย่างไร แต่สำหรับบางประเทศ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา การใช้งาน stablecoin กำลังเติบโตขึ้น สะท้อนผ่านอุปทานรวมที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดเวลา นักลงทุนต่างคาดหวังว่าให้ถึง $39,600
เมื่อตลาดคริปโตเข้าสู่ภาวะตลาดหมี รับมืออย่างไรดี?
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจคำว่า ตลาดหมี ก่อน ตลาดหมีนั้นเป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกตลาดที่มีแนวโน้มเป็นขาลง โดยลักษณะของกราฟที่มีทิศทางทิ้งตัวลงมาโดยเปรียบเทียบกับอาการถูกตะปบของหมีอย่างรุนแรง ซึ่งสภาวะตลาดเช่นนี้มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน หากพิจารณาดูตลาดในช่วงนี้ก็ได้แก่ ข่าวที่มีผลกระทบต่อตลาด , สถานการณ์รัสเซียและยูเครน,ความเคลื่อนไหวของ เฟด ที่มีผลต่อการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ ซึ่งปัจจุบันมีผลต่อตลาดอย่างมาก ทำให้เกิดความกังวลและเลือกถอนเงินออกจาก Asset classes ที่มองว่าความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นและคริปโทฯ เปลี่ยนไปถือครอง Asset classes ที่มองว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า ส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดคริปโทฯ จนเกิดสภาวะ " ตลาดหมี "
ซึ่งในทางกลับกันหากสภาวะตลาดดีขึ้น สินทรัพย์ดิจิทัลมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นจากปัจจัยโดยรอบ จะทำให้เกิดสภาวะ ตลาดกระทิง (Bull market) โดยที่กราฟจะดันตัวสูงขึ้นไปในทิศทางขาขึ้น เปรียบเสมือนการพุ่งชนของกระทิงที่จะก้มหัวเพื่อกระโดดเข้าใส่คู่ต่อสู้
ภาพประกอบจาก :AFP
ข้อมูลจากเว็บไซต์ th.investing.com โดยทีมบิทคับออนไลน์ เปิดเผยว่า ศิระธนาพันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจและกลยุทธ์ บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด กล่าวว่า เคยมีผู้ที่ได้เปรียบเทียบการจัดพอร์ตการลงทุนเสมือนกับการจัดผู้เล่นในทีมฟุตบอล คือมีหลายตำแหน่งมีทั้งกองหลัง กองกลาง กองหน้า ซึ่งแต่ละผู้เล่นหรือแต่ละส่วนก็จะทำหน้าที่ของตัวเองแต่ว่าก็จะมาประสานงานกัน ทำให้เกิดเป็นผลงานของทีม ในช่วงเวลาตลาดหมีหรือ Bear Market อาจจะแนะนำได้ว่าควรมีผู้เล่นที่เป็นกองหลังเยอะให้เยอะขึ้น คือเป็นผู้เล่นไม่ได้หวือหวามาก แต่ว่าผู้เล่นกองหลังเหล่านี้จะเป็นผู้เล่นที่ทำให้เราไม่เจ็บหนักจนเกินไป มีการป้องกันประตูให้เรา ผู้เล่นกองนี้จะหมายถึงคริปโทเคอร์เรนซีในกลุ่ม Large cap หรือเหรียญที่มีมูลค่าเยอะ ๆ มีมูลค่าตามราคาตลาดมากจึงทำให้สามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัย
จากนั้นค่อยเป็นในส่วนของกองกลาง คือ Mid cap ที่อาจจะมีมูลค่าไม่เยอะในขณะนี้ แต่เรามองว่ามีโอกาสในการทำกำไร ถ้าเป็นตลาดหมีก็อาจจะมีสัดส่วนที่น้อยหน่อย แต่ถ้าตลาดเริ่มกลับมาพลิกฟื้นหรือกลับมา เราอาจจะค่อยมองหาตัวที่เป็น Alt coin ตัวที่ถือว่าเป็น Small cap แต่มีโอกาสทำกำไรให้เราเพิ่มขึ้น
แต่ต้องย้ำอีกทีว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ก็อาจจะต้องมองกลับไปในส่วนของจุดเริ่มต้นของการลงทุนของเราว่าก่อน ว่าเรามีเป้าหมายยังไง เราสามารถจัดสรรในส่วนของเงินลงทุนได้เท่าไหร่ อย่างไรบ้าง แล้วก็ในเรื่องของจัดสรรเงินลงทุนไปตามแต่ละ Asset classes ด้วย และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยในช่วง Bear Market ก็คงจะเป็นในเรื่องของการ Stop loss ซึ่งเราสามารถตั้งจุดที่เรารับความเสี่ยงได้สูงสุดเอาไว้ แล้วทำตามแผนอย่างที่เคร่งครัด เพื่อลดความสูญเสียเกินกว่าเหตุที่จะเกิดขึ้นในสภาวะตลาดแบบนี้
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกถดถอย ทำให้ภาคอุตสาหกรรมคริปโต ต้องเผชิญฝันร้าย ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแต่ละคนในการยอมรับความเสี่ยง และเชื่อว่าบรรดานักลงทุนจะต้องจับตาผลประชุมเฟดคืนนี้ ว่าจะออกมาหัวหรือก้อย ตลาดคริปโตจะโดนเล่นงานหนักไปกว่านี้แค่ไหน?
ภาพประกอบจาก :AFP
*ข้อมูลนี้ไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี
**การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูล รวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
อ้างอิงข้อมูล : TNN WEALTH ,th.investing.com ,https://www.bitkub.com/blog
ภาพจาก :AFP ,TNN ONLINE