รีเซต

การถูกเมินทำให้รู้สึกแย่กว่าการเลิกรากันจริงๆ ถึง 72% วิจัยชี้

การถูกเมินทำให้รู้สึกแย่กว่าการเลิกรากันจริงๆ ถึง 72% วิจัยชี้
TNN ช่อง16
23 ตุลาคม 2568 ( 12:39 )
23

งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยบาห์เรน (University of Bahrain) ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Encyclopedia เมื่อปี 2024 ในหัวข้อ “Ghosting: Abandonment in the Digital Era” โดย Lateefa Rashed Daraj และคณะ พบว่า กว่า 72% ของผู้เข้าร่วมการศึกษาเคยมีประสบการณ์ถูก “เมินเฉย” หรือ “ghosted” จากบุคคลที่มีความสัมพันธ์เชิงใกล้ชิด และในกลุ่มนั้น ส่วนใหญ่รายงานว่าความรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกเมินนั้นรุนแรงและยาวนานกว่าการเลิกราอย่างเป็นทางการ

นักวิจัยอธิบายว่า ghosting กลายเป็นพฤติกรรมทางสังคมที่แพร่หลายในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ออนไลน์ เช่น การพูดคุยผ่านแอปหาคู่หรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายหายไปโดยไม่อธิบายหรือปิดช่องทางการติดต่อ ผู้ถูกเมินจะตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ไม่แน่นอนและคลุมเครือ สมองของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ต้องการ “เหตุผล” และ “การปิดจบ” เพื่อประมวลผลเหตุการณ์ การขาดคำอธิบายจึงเท่ากับการบังคับให้สมองอยู่ในสภาวะค้างคา

งานของ Naomi Eisenberger และ Matthew Lieberman จาก University of California, Los Angeles (UCLA) พบว่า การถูกปฏิเสธหรือถูกเมินกระตุ้นสมองส่วนเดียวกับที่ตอบสนองต่อความเจ็บปวดทางกาย (anterior cingulate cortex) หมายความว่าการถูกเมินไม่ได้ทำให้เราบอบช้ำแค่ทางอารมณ์ แต่สมองตีความว่า “กำลังบาดเจ็บจริง ๆ” ในระดับประสาทวิทยา การไม่มีคำตอบทำให้สมองพยายามหาความหมายซ้ำ ๆ ซึ่งคล้ายกับการวนลูปของความคิด (rumination) และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลได้

ในทางกลับกัน การเลิกราอย่างตรงไปตรงมา แม้จะสร้างความเสียใจ แต่เป็นการให้ “บทสรุป” ที่ทำให้สมองรับรู้ว่าความสัมพันธ์สิ้นสุดลงแล้ว นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “cognitive closure” หรือการได้ข้อมูลเพียงพอเพื่อจัดการกับความไม่แน่นอน ขณะที่การถูกเมินเฉยทำให้ผู้ถูกกระทำอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “emotional ambiguity” หรือความคลุมเครือทางอารมณ์ เพราะไม่อาจแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายโกรธ เศร้า ไม่สนใจ หรือเจ็บปวดเหมือนกันหรือไม่ ความไม่แน่นอนนี้ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) สูงขึ้น ซึ่งหากเกิดซ้ำ ๆ จะส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

นักจิตวิทยาสังคมอย่าง Roy Baumeister อธิบายไว้ในทฤษฎีความต้องการการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (need to belong theory) ว่ามนุษย์ต้องการความผูกพันและการยืนยันตัวตนจากผู้อื่น การถูกเมินจึงกระทบโดยตรงต่อความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง (self-esteem) และสร้างความรู้สึกโดดเดี่ยวเชิงอารมณ์ (emotional isolation) ผลการศึกษาของ Koessler และคณะ (2019) ในวารสาร Collabra: Psychology ยังพบว่า ผู้ที่เคยถูก ghosted มีแนวโน้มเกิดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่พึ่งพาการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์เป็นหลัก

การรับมือกับประสบการณ์การถูกเมินเฉยจึงต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงว่า “การไม่มีคำอธิบายก็เป็นคำตอบหนึ่ง” การเงียบของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุมได้ การหยุดโทษตัวเองเป็นอีกขั้นตอนสำคัญ เพราะพฤติกรรมการเมินสะท้อนถึงวิธีจัดการความสัมพันธ์ของอีกฝ่าย ไม่ใช่คุณค่าของเรา การตัดช่องทางที่กระตุ้นให้วนคิด เช่น การเช็กข้อความเก่าหรือโซเชียลของอีกฝ่าย จะช่วยให้สมองค่อย ๆ ปล่อยวางได้ง่ายขึ้น การใช้เวลาอยู่กับคนที่ตอบสนองจริงและให้พลังบวกช่วยฟื้นฟูความมั่นใจในตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าจะรับมือเพียงลำพัง การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหรือนักจิตวิทยาคลินิกจะช่วยให้เข้าใจอารมณ์และเรียนรู้วิธีเยียวยาตนเองได้อย่างเหมาะสม

ในยุคที่การสื่อสารเกิดขึ้นได้ในเสี้ยววินาที “ความเงียบ” กลับกลายเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุด การถูกเมินไม่เพียงหมายถึงการหายไปของข้อความ แต่ยังหมายถึงการหายไปของการยืนยันว่าเรายังมีตัวตนในความสัมพันธ์นั้น บางครั้ง “การไม่มีคำตอบ” อาจเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด เพียงแต่สมองของเรายังไม่พร้อมจะยอมรับ เพราะมันหมายถึงการต้องสิ้นสุดความหวังและความผูกพันที่เคยมี


ข่าวที่เกี่ยวข้อง