"คลัง-บีโอไอ"ปรับเงื่อนไข"รถอีวี"แก้ล้นตลาด

ผู้สื่อข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังหารือหาแนวทางแก้ปัญหาสงครามราคาและรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ล้นตลาด โดยเฉพาะประเด็นข้อกำหนดการผลิตชดเชยการนำเข้า ว่าจะปรับอย่างไร 

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารถล้นตลาดและกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมนี้ โดยประเด็นหนึ่งที่ถูกยกขึ้นมาหารือ คือ เรื่องสูตรการคำนวณจำนวนการผลิตชดเชยการนำเข้า

ทั้งนี้ตัวอย่าง กรณีหากค่ายรถยนต์ นำเข้ารถอีวีมาขาย 100 คัน แล้วผลิตภายในประเทศในปีนี้ไม่ทัน ได้เพียง 50 คัน หากต้องการย้ายจากมาตรการอีวี 3.0 มาเป็นอีวี 3.5 ซึ่งกำหนดให้ภายในปี 69 จะต้องผลิตชดเชยได้ถึง 2 เท่า หากเป็นวิธีคิดคำนวณในปัจจุบันต้องคิด 2 เท่า ของ 100 คัน หมายความว่าต้องนำยอดผลิตชดเชย 200 คัน แล้วหัก 50 คันที่ผลิตแล้ว ดังนั้นต้องผลิตชดเชยจะเหลืออีก 150 คัน

อย่างไรก็ตามแนวทางใหม่ที่หารือกัน คือ จะไม่ใช่ยอดผลิต 2 เท่าของยอดนำเข้าทั้งหมด แต่จะคิดเพียง 2 เท่าจากยอดรถคงเหลือที่ยังไม่ได้ผลิตชดเชย เช่น นำเข้ามา 100 คัน และยังผลิตไม่ทันตามแผนอีก 50 คัน ก็จะนำยอดนี้มาคูณ 2 เท่า จะทำให้เหลือยอดรถที่ผลิตได้เพียง 100 คัน น้อยกว่าคำนวณที่ใช้ในปัจจุบัน การเปลี่ยนวิธีการคำนวณยอดการผลิตชดเชย น่าจะบรรเทาปัญหาของรถอีวีที่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากในขณะนี้ได้ระดับหนึ่ง

ที่ผ่านมามาตรการสนับสนุนการใช้รถอีวี โดยที่รัฐให้เงินอุดหนุนแก่ค่ายรถยนต์อีวี ที่นำเข้ามาขายในประเทศ เพื่อให้ค่ายรถยนต์นำไปเป็นส่วนลดให้กับผู้ซื้อนั้น ได้กำหนดเงื่อนไขที่สำคัญคือ จะต้องมีการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ภายในประเทศ เพื่อชดเชยการนำเข้า เช่น กรณีมาตรการอีวี 3.5 กำหนดว่า ภายในปี 69 จะต้องผลิตชดเชยการนำเข้าในอัตรา 2 เท่าของจำนวนที่นำเข้า และภายในปี 70 จะเพิ่มเป็น 3 เท่า

ทั้งนี้ สงครามราคารถอีวีที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในประเทศจีน ที่เป็นแหล่งผลิตรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการใช้กลยุทธ์การตัดราคา คือ การทำให้รถยนต์ อีวี ป้ายแดง เป็นรถมือสอง โดยนำรถยนต์ใหม่ไปจดทะเบียน แล้วนำออกขายในตลาดรถยนต์มือสอง ซึ่งราคาจะถูกกว่ารถยนต์ป้ายแดง