รีเซต

วันอีสเตอร์2565 : 17 เมษายน (Easter Day) รู้จักประวัติวันอีสเตอร์

วันอีสเตอร์2565 : 17 เมษายน (Easter Day) รู้จักประวัติวันอีสเตอร์
TrueID
18 เมษายน 2565 ( 11:34 )
12.1K

เมื่อพูดถึงเทศกาลอีสเตอร์ (Easter Day) สิ่งแรกๆที่หลายคนนึกถึงก็คงจะหนีไม่พ้นกระต่ายหรือเป็นไข่ที่มีลวดลายแปลกตาจากการทาสีที่ไม่ซ้ำกัน แต่แท้จริงแล้วยังมีความหมายลึกซึ้งซึ่งเกี่ยวข้องกับพระเยซูที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

 

  • วันอีสเตอร์ ถือเป็นวันสำคัญทางศาสนาอีกวันหนึ่งของชาวคริสต์ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวันคริสต์มาส
  • วันอีสเตอร์ คือวันอาทิตย์แห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู(Easter Sunday) หลังจากที่เมื่อวันศุกร์ (Good Friday) พระเยซูได้ถูกตรึงกางเขน  สิ้นพระชนม์บนกางเขน และถูกฝังไว้ในถ้ำสุสาน
  •  การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู (Resurrection of Christ) นั้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งตามความเชื่อของชาวคริสต์ ชาวคริสต์จะพิธีกรรมทางศาสนาตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนวันอีสเตอร์(Holy Week) และในวันอีสเตอร์ด้วย สำหรับปีนี้ ตรงกับวันที่ 4 เมษายน 2564

 

  ด้วยเหตุที่วันอีสเตอร์ยังประจวบเหมาะอยู่ในช่วงที่ชาวยุโรปโบราณมีการฉลองต้อนรับฤดูใบไม้ผลิและดอกไม้บาน หลังจากที่ซึมเซาอยู่กับฤดูใบไม้ร่วงและความหนาวมาหลายเดือน ดังนั้นการฉลองอีสเตอร์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เราจึงเห็นในประเทศตะวันตกและประเทศที่มีชาวคริสต์อาศัยอยู่จำนวนมากมีการเฉลิมฉลองในวันอีสเตอร์ จะมีการให้ของขวัญกันซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นขนมหวานชนิดต่างๆ ครอบครัวจะมาร่วมทานอาหารเย็นด้วยกัน  มีการตกแต่งบ้านด้วยสิ่งของเครื่องใช้สีลูกกวาดและดอกไม้สีสดใส บางทีเป็นรูปลูกเจี๊ยบหรือรูปไข่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ และที่เด็กๆชอบกันมากก็คงเป็นเกมส์หาไข่ (Easter Egg Hunt) เพื่อได้ขนมหรือของรางวัลซ่อนอยู่นั่นเอง

 

ประวัติความเป็นมาของวันอีสเตอร์ (History of the Holidays: Easter)

 

  อีสเตอร์ วันที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในปฏิทินของชาวคริสต์ เป็นการเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แล้วปาฏิหาริย์นี้เกี่ยวข้องอะไรกับกระต่ายและไข่หลากสีด้วย คำตอบซ่อนอยู่ในพิธีกรรมและประเพณีที่สืบต่อกันมาเป็นหลายร้อยชั่วอายุคน

 

ตามบันทึกในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูและพระอัครธรรมฑูต (The Apostle) เดินทางไปที่เมืองเยรูซาเลม (Jerusalem) เพื่อประกอบพิธี Passover ซึ่งเป็นเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวเพื่อรำลึกถึงการที่ชาวฮิบรูได้รับการปลดปล่อยจากความเป็นทาส หลังอาหารค่ำในพิธี Passover พระเยซูทรงถูกจับกุม และในวันที่เรียกกันในปัจจุบันว่า วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) พระเยซูก็ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่เพียงสองวันนับจากนั้น ท่านก็ทรงฟื้นคืนพระชนม์

 

เดิมที เทศกาลอีสเตอร์เฉลิมฉลองกันในวันที่สองถัดจากวัน Passover ดังนั้นมันอาจจะเป็นวันไหนก็ได้ในหนึ่งอาทิตย์ แต่วันอีสเตอร์ที่ตรงกับวันพุธ ออกจะรู้สึกแปลกๆอยู่

 

ชนชาติยิวเป็นคนกลุ่มแรกที่เริ่มเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์นี้ โดยคาดกันว่าอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Passover ที่จริงแล้ว การเฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์เดิมเรียกว่า Pascha ซึ่งมาจากคำว่า Pasach คำในภาษายิวที่แปลว่า Passover

 

ในปี ค.ศ. 325 จักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine) ของอาณาจักรโรมัน และที่ประชุมแห่งไนเซีย (The Council of Nicaea) ตัดสินว่าเทศกาลอีสเตอร์ควรต้องตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมา วันอีสเตอร์ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์นั้น จะเป็นวันอาทิตย์แรก หลังพระจันทร์เต็มดวงในวัน Spring Equinox ซึ่งอาจจะเป็นวันไหนก็ได้ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม-25 เมษายน

 

ในช่วงเดียวกันนี้ ชาวคริสต์ได้เริ่มธรรมเนียมเฉลิมฉลองเทศกาลอีกสเตอร์ขึ้นเป็นอย่างแรก นั่นคือธรรมเนียมการการจุดเทียนปัสกา (Paschal Candle) ซึ่งเปลวเทียนนั้นเป็นสิ่งระลึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เป็นเหมือนแสงที่ส่องสว่างออกมาท่ามกลางความมืดมิด

 

ขณะที่ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายออกไปทั่วทวีปยุโรป มีธรรมเนียมเดิมตามความเชื่อของเพเกนบางอย่างที่ผสมผสานเข้ากับความเชื่อของศาสนาคริสต์ด้วย ที่จริงแล้ว คาดว่าคำว่า อีสเตอร์ (Easter) อาจจะมาจากชื่อของ เทพีเอสตรา (Eastra) เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิและความอุดมสมบูรณ์ นี่นำเรามาสู่ไข่อีสเตอร์ (Easter Egg)

 

ตามความเชื่อในตำนานมาเป็นพันๆปี คาดว่าชาวคริสต์รับเอาไข่มาเป็นส่วนหนึ่งในธรรมเนียมเทศกาลอีสเตอร์ในช่วงศตวรรษที่ 13 ไข่แดงในเปลือกเป็นสัญลักษณ์แทนการปรากฏตัวของพระคริสต์จากหลุมฝั่งพระศพ และย้อมเปลือกไข่เป็นสีแดงเพื่อแทนพระโลหิตที่พระคริสต์ต้องสูญเสียไปบนไม้กางเขน

 

ไม่นาน ไข่อีสเตอร์หลากสีก็ได้มีประเพณีเป็นของมันเอง และประเพณีที่เป็นที่ชื่นชอบมากคือประเพณีการกลิ้งไข่อีอีสเตอร์ (Egg Rolling) ในปี ค.ศ. 1876 สภาคองเกรสออกกฎห้ามเด็กๆเล่นการละเล่นนี้ในพื้นที่ของสภา ดังนั้น ประธานาธิบดี รัทเธอร์ฟอร์ด บี. เฮส จึงเปิดสนามหญ้าของทำเนียบขาวให้เด็กๆได้เข้ามาเล่นกัน หลังจากนั้นประเพณีกลิ้งไข่อีสเตอร์ประจำทำเนียบขาว (The White House Easter Egg Roll) ก็กลายเป็นประเพณีประจำที่เกิดขึ้นทุกปี

 

แล้วกระต่ายอีสเตอร์กระโดดมาเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลได้อย่างไร ในช่วงศตวรรษที่ 16 พ่อแม่เริ่มบอกลูกตัวเองว่า ถ้าเด็กๆเป็นเด็กดี กระต่ายอีสเตอร์ก็จะมาวางไข่หลากสีไว้ที่บ้าน เด็กๆก็จะทำรังไว้ในบ้าน เพื่อล่อให้กระต่ายเข้ามา นี่เองเป็นที่มาของประเพณีการล่าไข่อีสเตอร์ (Ester Egg Hunt) และตะกร้าไข่อีสเตอร์ (Easter Basket)

 

เพื่อช่วยให้เด็กๆ เติมตะกร้าอีสเตอร์ให้เต็มได้ง่ายขึ้น ช่างทำช๊อคโกแล็ตในยุโรป ในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 ได้เริ่มผลิตช็อคโกแล็ตรูปไข่ออกมา ขนมแบบนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และคนในปัจจุบันใช้เงินเป็นพันๆล้านดอลลาร์ทุกปี เพื่อซื้อขนมในเทศกาลอีสเตอร์

 

เทศกาลอีสเตอร์เป็นวันแห่งความปีติที่ชาวคริสต์เฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แค่สองพันปีที่ผ่านมานี้มีธรรมเนียมประเพณีใหม่ๆ ถูกผนวกเข้าไว้มากมาย บ้างเป็นประเพณีทางศาสนา และบ้างก็เป็นประเพณีเพื่อความสนุกสนาน แต่อีสเตอร์ยังเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิด้วย ฤดูกาลที่ชีวิตใหม่เกิดขึ้นหลังความหนาวเย็นของฤดูหนาว

 

วันเทศกาลอีสเตอร์แต่ละปี

  วันอีสเตอร์แต่ละปีจะไม่ตรงกันซะทั้งหมด และทางตะวันตกกับตะวันออก กำหนดวันอีสเตอร์ที่ต่างกัน โดยช่วงเวลาที่ตรงกับเทศกาลนั้นก็คือช่วงประมาณเดือนมีนาคมหรือเมษายน ซึ่งจะสอดคล้องกับฤดูใบไม้ผลิในทวีปยุโรป ซึ่งเปลี่ยนไปทุกปีด้วย ดังนี้

 

 ปี  วันที่
2013 31 มีนาคม 2013
2014  20 เมษายน 2014
2015  5 เมษายน 2015
2016  27 มีนาคม 2016
2017  16 เมษายน 2017
 2018  1 เมษายน 2018
2019  21 เมษายน 2019
2020  12 เมษายน 2020
2021  4 เมษายน 2021
2022  17 เมษายน 2022
2023  9 เมษายน 2023

 

เนื่องจากช่วงเทศกาลดังกล่าวเป็นวันหยุดยาวซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดทำการ! หากใครที่กำลังแพลนไปเที่ยวยุโรปอยู่ก็ควรวางแผนเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้วันเดินทางของเราไปตรงกับวันหยุดอีสเตอร์ 

 

แล้วต้องเดินทางช่วงไหนจึงจะไม่เจอวันหยุดอีสเตอร์?

เนื่องจากวันที่:

15 เมษายน 2022 เป็นวัน Good Friday

17 เมษายน 2022 เป็นวัน Easter

18 เมษายน 2022 เป็นวัน Easter Monday

 

ถือเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ในยุโรป ดังนั้นทางเราขอแนะนำว่าหากท่านใดวางแผนช้อปปิ้งหรือท่องเที่ยวในเมือง ให้วางแผนดีๆเพื่อหลีกเลี่ยงวันหยุด แต่หากท่านใดวางแผนเที่ยวนอกเมือง ชมธรรมชาติสวยงาม ก็สามารถทำได้ทุกวันตามแผนที่วางไว้ได้เลย

 

 

ที่มา : สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนในสหรัฐอเมริกา และ trueplookpunya.com

Photo Mariusz Cieszewski

++++++++++

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง