รีเซต

เปิดใจ บิณฑ์-เอกพันธ์ ควัก 10 ล้านช่วยชาวบ้าน วอนคนคิดสั้นโทรมาหา

เปิดใจ บิณฑ์-เอกพันธ์ ควัก 10 ล้านช่วยชาวบ้าน วอนคนคิดสั้นโทรมาหา
มติชน
24 เมษายน 2563 ( 16:58 )
281

มีข่าวว่า บิณฑ์ กับ ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ นำเงินสดๆไปแจกชาวบ้าน ในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด เกี่ยวกับเรื่องนี้ 2 พี่น้องได้เปิดใจผ่านรายการโหนกระแส ที่แพร่ภาพวันนี้ ทางช่อง 3 HD โดยบิณฑ์กล่าวว่า ที่ทำอย่างนั้นเพราะเจอเหตุการณ์ที่มีคนมีคนมาเคาะกระจกรถเพื่อขอสตางค์

“ถือว่าหนักหนานะ” บิณฑ์บอก

“มันเริ่มมีโควิด แล้วรัฐบาลประกาศให้อยู่ในบ้าน ไม่ควรออกมานอกบ้าน พวกห้างร้านปิดหมด ประมาณอาทิตย์กว่าเกือบ 2 อาทิตย์ ผมโทรไปปรึกษาผู้ใหญ่ ขอข้าวก็ยังดี เขาบอกกลัวว่าคนออกมารับแล้วจะดูไม่สวยไม่งาม คนจะแย่งกัน ผมก็เออ มันก็ใช่ ก็กลับไปคิดจะทำยังไงดี นึกเลยว่า ณ ตอนนั้นคนไม่ได้ต้องการข้าว อาจมีบ้าง แต่แน่นอนคือเขาต้องการเงิน มันเริ่มมาตั้งแต่อุบลฯ แล้ว แจกเงินปุ๊บเขาเหมือนแทบจะกราบและร้องไห้เลย”

“เขาอยากได้เงิน แล้วที่ผมไป เขาทำงานเป็นรายวัน หยุดมา 2 อาทิตย์ หาเช้ากินค่ำ ไม่มีอะไรเลย บางครอบครัวอยู่กันเป็นสิบๆ คน ทำให้เรารู้ว่ามันอนาจมาก”

“ตอนแรกผมไปกัน 3 คนที่คอกหมูคลองเตย มีเงินไป 3 แสน เดินลุยไปกับเพื่อน ถามผู้นำชุมชนว่าคนไหน ขออนุญาตนะครับมีกี่ครอบครัว เขาบอกมี 500 กว่าครอบครัว ผมก็เออ 3 แสน ผมพอ”

“เงินผมเอง ก็แจก 500 มีพี่น้องรอบๆรู้ข่าว ก็แห่กันมา ผู้นำบอกว่าไม่ใช่ที่บ้านเขา เขารับผิดชอบแค่ลูกบ้าน ผมก็ต้องหยุด เพราะมันเกินโควต้าที่บอกไว้ เขาก็เสียใจ ผมก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ต้องกลับไปบ้านเอาเงินมาใหม่”

“ผมมีครับ ผมพอ ไม่ได้รวยมาก แต่พอมีอันจะกิน”

เมื่อพิธีกรถามเรื่องที่มีคนเล่าลือว่าเงินที่เอามาแจก เป็นเงินจากน้ำท่วม บิณฑ์ก็ปฏิเสธ โดยว่า “ถ้าผมใช้เงินจากน้ำท่วมขอให้ผมฉิ-หาย ผมนับถือพระ นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใช้แม้แต่บาทเดียวขอให้ฉิ-หาย เงินน้ำท่วมไม่มีค้าง ผมปิดบัญชีหมดแล้ว”

ด้านเอกพันธ์ก็ว่า เงินบริจาคน้ำท่วม ทำบัญชีและมีการตรวจสอบเรียบร้อยไปหมดแล้ว

“มันเบิกมาไม่ได้อยู่แล้ว” บิณฑ์บอกอีก

“ผมปิดทั้งสองบัญชีเรียบร้อยหมด และมีค่าใช้จ่ายค้างจ่ายที่ผมเช็กไว้แล้วจะต้องจ่าย มีโควิดมาปุ๊บเรื่องรถผมจะเอาไปมอบให้รพ.อุบลก็ไปไม่ได้ เพราะต้องโดนกักตัวอะไร ก็เก็บไว้ก่อน ฉะนั้นเงินทุกบาททุกสตางค์ ผมตั้งไว้ 10 ล้าน เป็นเงินที่เรียกว่าอานิสงค์จากน้ำท่วมอุบลฯ ที่ผมได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ผมได้ 10 กว่าล้าน ผมพูดก่อนโควิดจะมาว่าผมไม่สมควรจะได้เงิน 10 กว่าล้านจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์”

“มีโครงการอยู่แล้วจะนำเงิน 10 กว่าล้านให้รพ.นั้นรพ.นี้ ทำโครงการนั้นโครงการนี้ แต่พอมีโควิด ผมก็เอามาช่วยตรงนี้ดีกว่า ผมลงไปวันนั้นก่อนโควิดจะมาด้วย คนบอกคุณบิณฑ์ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เก็บไว้สิ แต่ผมไม่จำเป็น”

“ถ้าผมมีความสุข แต่ชาวบ้านหลายคนไม่มีความสุข ผมอยู่ได้ยังไง ผมไม่สามารถ อยู่ไม่ได้ อย่างน้อยพี่น้องประชาชนก็เป็นผู้มีพระคุณกับผม ดูละคร ดูหนังผม เงินตรงนี้ผมไม่เสียดาย ดีใจด้วยซ้ำไป ที่เรามีโอกาสตอบแทนบุญคุณพวกเขา ได้ช่วยเหลือเขา อย่างคุณเอกพันธ์ก็เตือนว่าทำไมไม่เก็บ ก็บอกว่าอย่าดีกว่า ผมยังไม่รู้เลยว่าโควิดจะหมดเมื่อไหร่ ไม่รู้คนเดือดร้อนจะหายไปเมื่อไหร่ วิกฤตนี้คือประวัติศาสตร์ ถ้าไม่ออกมาช่วยตอนนี้จะช่วยเขาตอนไหน เหมือนอุบลฯ ก็คือประวัติศาสตร์ เราต้องช่วย”

“คนถามว่าทำไมไม่เปิดบัญชี ผมบอกว่า ณ ตอนนี้ทุกหย่อมย่านเดือดร้อนกันหมด ถ้าเปิดบัญชีจะไปเอาเงินจากใคร เขาก็ลำบาก ผมแค่หวังว่าจะมีผู้ที่ใจบุญ มหาเศรษฐีต่างๆ หรือคนทำธุรกิจ อยากฝากเงินไปให้พี่น้องประชาชน ผมยอมทำให้ ยอมเหนื่อย เงินทุกบาทถ้าไว้ใจผม ผมทำได้”

ทั้งนี้เอกพันธ์บอกด้วยว่า ได้ลงพื้นที่ไปแจกแล้วประมาณ 25 แห่ง

“เขามีสภาพความเป็นอยู่แตกต่างกัน บางหลังแตกเป็นห้องเช่า บางชุมชุนเป็นสภาพแบบว่าพื้นที่นึงอยู่กันร้อยกว่าคน แต่มีห้อง 40 ห้อง ห้องนึงอัดกัน 7-8 คน เหมือนเป็นรวงผึ้ง เป็นช่องๆ ก็ได้เข้าไปเห็นถึงรู้ว่าบางพื้นที่ในกรุงเทพฯ ใจกลางเมือง มีสภาพที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ”

“แล้วสิ่งที่น่าสงสารคือ ห้องนึงเข้าไปข้างใน แม่พ่อลูก 5-6 คนอัดอยู่ในนั้น ผมกับคุณบิณฑ์ต้องออกเงินสร้างบ้านให้เขาเลยนะ มีลูก 4 คน ลูกผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 1 คน หลังคาเวลาฝนตกฟ้ารั่ว พื้นเหยียบมีรู วันดีคืนดีงูเหลือมมาบนบ้านเขา 10 กว่าครั้ง นอนไม่ได้ ต้องอุ้มลูกหนีไปข้างนอก ไปเห็นสภาพนั้น คุณบิณฑ์เลยบอกว่าทำเลย ให้สร้างบ้านให้เขาเลย”

บิณฑ์ยังบอกด้วยว่าไม่ใช่แค่เฉพาะหลังกล่าว แต่ที่คิดไว้คือ มีอีก 3-4 หลัง ที่เมื่อจบโควิดจะเข้าไปจัดการให้

เขายังบอกอีกว่าเท่าที่ฟังจากชาวบ้าน ส่วนใหญ่จะเดือดร้อนเรื่องการทำมาหากิน

“ทุกวันเขารับจ้างรายวัน ออกไปหางาน ได้เงินมา 200-300 ช่วยครอบครัวได้ วันนี้บางคนเข็นขายอะไรไม่ได้ บางคนอาชีพนวดแผนโบราณ เขาก็ทำอะไรไม่ได้” 

การลงพื้นที่ดังกล่าวนอกจากเจอคนไทยที่เดือดร้อนแล้ว เอกพันธ์บอกว่ายังเจอคนทั้งคนลาว พม่า เวียดนาม ที่ประสบปัญหาเดียวกัน

“เขาทำมาหากินไม่ได้เลย เงินที่เก็บไว้ก็หมด รออย่างเดียวเมื่อไหร่คนจะเอาข้าวมาแจก จะไปเอามาประทังชีวิต”

ถึงตอนนี้บิณฑ์เสริม “เมื่อวานเราเดินเห็นมั้ย ข้าวเปล่าจานนึง มีกุ้งแห้ง 4 ตัว” ซึ่งเอกพันธ์ก็ว่า “โห น้ำตาแทบจะไหล”

เมื่อพิธีกรถามว่า มีคนไทยที่ไม่ได้รับ 5 พันไหม?

บิณฑ์บอก “มี ตาสีตาสา เขาเข้าระบบไม่ได้ ทำไม่เป็น รอขอข้าววันๆ นึง เงิน 10 ล้านผมไม่เสียดายเลยนะ”

การให้เงินดังกล่าว บิณฑ์บอกว่าจะให้หลังคาเรือนละ 500 บาท แต่ถ้าหลังไหนอยู่กัน 4-5 ครอบครัว ก็ให้ 1,500-2,000 บ้านไหนมีผู้ป่วยติดเตียงก็ให้ราวๆนั้น

“เมื่อวานเจอผู้ป่วยนอนในคอก อึ ฉี่ ผมบอกให้ลูกน้องจดไว้เดี๋ยวเสร็จเมื่อไหร่ผมจะมาพาไปจัดการตัดผม ล้างตัว เขาอยู่กันอย่างแออัด หน้ากากก็ไม่ได้ใส่” 

สำหรับเด็กๆ เอกพันธ์บอกถ้าเจอก็แจกคนละร้อย

เมื่อพิธีกรบอกว่าบางทีดูแล้วยังแปลกใจ ได้รับ 1 ใน 20 จดหมายหรือเปล่า?

บิณฑ์บอก “ไม่ได้รับครับ (หัวเราะ) ผมอันดับเป็นล้านครับ” ส่วนเอกพันธ์ก็ว่า “มีเงินในบัญชีดูเลยสวยๆ 2 หลักสวยๆ งามๆ แต่ไม่สนตัวเลขเลย นึกถึงคนอื่นก่อนเสมอ”

บิณฑ์ยังบอกอีกว่า “ผมมีความสุขกับการได้เงิน และยิ่งมีความสุขถ้าผมเอาเงินนี้มอบให้พี่น้องประชาชนที่ลำบาก คิดแค่นั้นเอง แล้วเป็นเงินที่เราไม่ได้ต้องเหนื่อย ได้มาสบายๆ เป็นแค่พรีเซ็นเตอร์ เงิน 500 เขาบอกว่าอยู่เป็นอาทิตย์ เป็นสองสามอาทิตย์สบายๆ”

ถึงตอนนี้บิณฑ์บอกว่าแจกเงินไปแล้วกว่า 6 ล้านบาท แต่คาดว่าทั้งหมดน่าจะแจกได้ 10 กว่าล้าน เพราะมีผู้ใหญ่ใจดีมาสมทบทุน

ส่วนความรู้สึกที่ได้เห็นรอยยิ้มของชาวบ้าน บิณฑ์ก็ว่า “เขามีความสุขแค่ไหน ผมมีความสุขมากกว่าเขาร้อยเท่า มันเป็นการให้ เราเห็นเขาแทบจะก้มกราบเราที่เท้า เราบอกว่าไม่ต้องครับ เขาสรรเสริญ ทุกอย่างทำให้เรารู้ว่า โอ้โห นี่แค่ 500 บาทนะ เขายังขนาดนี้เลย มันไม่ใช่แค่การให้เฉยๆ มันเป็นการที่เราได้ดูแล”

เมื่อพิธีกรขอให้บิณฑ์ส่งแรงใจถึงคนที่แร้นแค้น โดยบางคนถึงกับคิดสั้น เขาก็ว่า “คนมีปัญหาคิดฆ่าตัวตาย ไม่มีจะกิน จะทำยังไง คิดไม่ออก เดี๋ยวให้เบอร์มูลนิธิร่วมกตัญญู โทรมาก่อน อย่าคิดว่าไม่มีใครช่วย บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ยังอยู่ หนักหนายังไงมาคุยกันก่อน จะเอายังไงก็ว่ากันต่อไป เอาเป็นว่าคุณหยุดนิดนึงโทรมาหาผมก่อน เบอร์มูลนิธิร่วมกตัญญู 027510951-3 ทุกอย่างมีทางออกและแก้ไขได้” 

ขณะเดียวก็บอกผ่านถึงมูลนิธิด้วยว่า ถ้ามีคนโทรเข้าไป ให้จดรายละเอียดแล้วส่งให้เขาทางไลน์ก็ได้

“ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินเดี๋ยวผมจะโอนให้เลย  ถ้าผมพอจะช่วยได้”

ไม่กลัวคนหมั่นไส้เหรอ? พิธีกรถามอีก

“ไม่กลัวครับ” บิณฑ์บอก

“เขาจะหมั่นไส้ผมทำไม ผมทำเพื่อประชาชน ผมไม่กลัวคนหมั่นไส้ กลัวคนอิจฉาริษยามากกว่า”

แล้วจะข้ามหน้าข้ามตาใครหรือเปล่า?

กับเรื่องนี้บิณฑ์ก็ว่า “แค่ 500 บาทจะไปข้ามหน้าข้ามตาใคร” 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง