ซื้อสังคมให้ลูก ? ลงทุนเพื่อการศึกษา ? ทางออก = โรงเรียนอินเตอร์ ?

"โรงเรียนนานาชาติโตพุ่งแรง สวนกระแสเศรษฐกิจ"
ธุรกิจโรงเรียนอินเตอร์หรือโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย
ถือว่ากำลังโตพุ่งแรงสวนทางกับเศรษฐกิจ
เช่นปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าธุรกิจโรงเรียนอินเตอร์ มีรายได้กว่า 8 พันล้านบาท
แม้ค่าเทอมจะแพงกว่าโรงเรียนทั่วไปหลายเท่า
แต่ดูเหมือนว่าพ่อแม่คนที่มีกำลัง ต่างก็ฝันอยากให้ลูกได้เข้าไปเรียนกัน เพราะอะไร ?
อ้างอิงจากข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าปัจจุบันนี้ไทยมีโรงเรียนนานาชาติอยู่ทั้งหมด 257 แห่ง
ขณะที่ข้อมูลจาก "กรมพัฒนาธุรกิจการค้า" กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า
ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ นั้นน่าจับตามอง เพราะมาแรงสวนกระแสเศรษฐกิจ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า
จากคลังข้อมูลธุรกิจ DBD DataWarehouse+ พบว่า ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย
มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง และเป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง
และจากการจัดทำบทวิเคราะห์เจาะลึกธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในบ้านเรา
พบว่าโรงเรียนนานาชาตินั้นได้รับความนิยมจากผู้ปกครองที่มีรายได้สูง
โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี และภูเก็ต
รวมกันแล้วจังหวัดเหล่านี้มีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่รวมกันแล้วมากกว่า 80%
ของทั้งประเทศ
พ่อแม่ในไทย ผู้ปกครองในไทยที่มีเงิน มีกำลังมากพอ
จะนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ
รวมไปนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาทำงานในไทยพร้อมครอบครัว
ก็นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยเช่นกัน
สาเหตุหรือปัจจัยสำคัญที่พ่อแม่ยุคใหม่กลุ่มนี้ เลือกโรงเรียนนานาชาติแทนโรงเรียนทั่วไป
ทั้งโรงเรียนเอกชนหรือรัฐบาล เพราะอยากให้ลูกหลานสุดที่รัก
ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ทั้งด้านการเรียนรู้ภาษา
วัฒนธรรมที่หลากหลาย และทักษะที่จำเป็นต่ออนาคต
ซึ่งโรงเรียนอินเตอร์ได้ตอบโจทย์สำคัญ ถึง 3 เรื่อง คือ
1. การให้ความสำคัญกับคุณภาพของครู
ครูหนึ่งต่อดูแลนักเรียนแค่ 8 คน ได้ดูแลและติดตามการเรียนสอนได้อย่างใกล้ชิด
2. มาตรฐานระบบการศึกษา
ส่วนใหญ่โรงเรียนนานาชาติที่เข้ามาเปิดในประเทศไทย
มักจะเป็นเครือข่ายจากต่างประเทศที่มีระบบการเรียนการสอนแบบสากล
3. การขยายตัวของชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน หรือทำธุรกิจในประเทศไทย
ซึ่งมักจะมีครอบครัวติดตามมาด้วย
คนกลุ่มนี้นิยมเลือกโรงเรียนนานาชาติเป็นที่เรียนให้กับบุตรหลาน
ทั้งนี้ปัจจุบันนี้โรงเรียนนานาชาติในไทยส่วนใหญ่มีการขยายหลักสูตร
ที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล หรือเทียบเท่ากับการส่งลูกไปเรียนในต่างประเทศ
แต่เด็กยังได้อยู่ในเมืองไทย ที่ใกล้ชิดกับครอบครัว
และเมื่อบวกลบคูณหารหรือมาคำนวณค่าใช้จ่ายดูแล้ว
สุดท้ายแล้วอาจจะยังถูกกว่าส่งลูกไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยซ้ำไป
"พ่อแม่อยากซื้อสังคมให้ลูก ? "
หนึ่งในปัจจัยน่าสนใจที่คนนิยมส่งเรียนลูกอินเตอร์
ที่พูดแบบเข้าใจง่ายๆ คือ "พ่อแม่อยากซื้อสังคมให้ลูก"
เป็นหนึ่งในแรงหนุนทางจิตวิทยา
พ่อแม่มองว่า โรงเรียน คือ สถานะทางสังคม หรือ Status
แม้ว่าการเรียนในโรงเรียนนานาชาติต้องจ่ายสูงกว่าทางเลือกทั่วไป
แต่ผู้ปกครองที่มีรายได้สูงก็เลือกที่จะลงทุนด้านการศึกษาให้แก่บุตรหลาน
เพราะหวังจะได้รับการยอมรับในสังคม และอยู่ในระดับอินเตอร์
ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและความมั่งคั่ง
จากสมัยก่อนคนรวยๆ มักจะนิยมส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเท่านั้น
รวมไปถึงเรื่องหลักสูตรพิเศษหรือเฉพาะทางที่ทันสมัย
ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติด้วยเช่นกัน
และวันนี้โรงเรียนนานาชาติ ได้กลายเป็นธุรกิจมาแรงแซงทางโค้ง
เพราะสามารถทำรายได้พุ่งไปกว่า 8 พันล้านบาท
และทำกำไรได้ดีมาก ด้วยตัวเลขกว่าพันล้านบาทต่อปี
ค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเรียนอินเตอร์ในประเทศไทย
โรงเรียนระดับท็อป 10 อันดับแรก ที่มีค่าเทอมสูงสุด
พบกว่าพ่อแม่ต้องเสียเงินค่าเทอมสูงสุดถึงหลักล้านบาท
โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,109,400 - 905,300 บาท ต่อ ปี
ค่าเทอมสูง แต่พ่อแม่ก็ลงทุนยอมจ่าย
โรงเรียนจึงมีรายได้ที่ดี และยังเติบโตแบบ"ก้าวกระโดด"
มีโรงเรียนนานาชาติในไทยเปิดใหม่หรือขยายสาขา เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
จากข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568
มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนในธุรกิจหมวดการศึกษา
ทั้งหมดจำนวน 7,511 ราย
มีทุนจดทะเบียนรวม 50,633 ล้านบาท
และนอกจากคนไทยแล้วก็ยังมีลงทุนจากต่างชาติเข้ามาด้วยเช่นกัน
ด้วยเงินจำนวนไม่น้อย มูลค่ารวมถึง 5,733 ล้านบาท
ทั้งนี้เมื่อเราเจาะเข้าไปดู จะพบว่าประเทศที่เข้ามาลงทุนในมากที่สุด
3 อันดับแรก คือ
1.อังกฤษ 30% ทุนจดทะเบียน 1,706 ล้านบาท
2.จีน 11% ทุนจดทะเบียน 636 ล้านบาท
3.สิงคโปร์ 7% ทุนจดทะเบียน 428 ล้านบาท
"ฟื้นตัวเร็ว เติบโตก้าวกระโดด แต่เด็กเกิดน้อยคือความเสี่ยงในอนาคต"
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
จากข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างนิติบุคคลโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย
จำนวน 20 ราย พบว่าย้อนกลับไป 5 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2563-2567
ซึ่งถ้าหากเราจำกันได้ดี จะมีช่วงนึง ที่ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบหนัก
จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมไปถึงโรงเรียนต้องหยุดล็อกดาวน์
และวิกฤตนี้ก็ทำให้เด็กนักเรียนต่างชาติต้องเดินทางกลับประเทศ
หรือต้องเรียนออนไลน์ทดแทน และทำให้รายได้ของโรงเรียนชะลอตัวลง
แต่ปรากฎว่าไม่นานนัก หลังจากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปแล้ว
ปรากฎว่าธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย
พลิกฟื้นตัวได้ กลับมาทำรายได้ และมีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องได้อีกครั้งนึง
รายงานระบุว่า
ปี 2565 ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย สร้างรายได้ 5,723 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.57% กำไร 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 55.75%
ปี 2566 รายได้ก้าวกระโดดเป็น 7,327 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 28.04% กำไร 1,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 136.28%
ขณะที่ปีที่แล้ว ปี 2567
ก็ยังทำรายได้โตต่อเนื่องเป็น 8,313 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.45% กำไร 1,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14.08%
จะเห็นได้ว่าตัวเลขการเติบโตนั้นแข็งแกร่ง มีทั้งสองหลัก และสามหลักด้วยซ้ำไป
ดังนั้นในอนาคต มุมมองจากทางอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
จึงเชื่อมั่นว่าธุรกิจโรงเรียนอินเตอร์แบบนี้ ยังมีโอกาสโต และสามารถขยายต่อไปได้อีกมาก
มองในแง่ของธุรกิจ นี่คือ โอกาสที่น่าสนใจ
ถ้าหากเรามองย้อนไปในอดีต โรงเรียนนานาชาติ อาจจะเป็นพื้นที่ของเด็กต่างชาติเป็นหลัก
และกระจุกอยู่ในเมืองหลวง แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนของเด็กนักเรียนไทยมากขึ้น
และกระจายในต่างจังหวัด ครอบคลุมทุกภาค โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวต่างๆ
ที่มีต่างชาติย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐาน เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา
ดังนั้นในระยะต่อไปการขยายตลาดของโรงเรียนนานาชาติในไทย ไม่ใช่พียงแค่การเพิ่มสาขาเท่านั้น
แต่ยังยกระดับไปถึงการพัฒนาหลักสูตร ที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่
เช่น การพัฒนาหลักสูตรพิเศษ STEM หมายถึง
วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer: E)
และคณิตศาสตร์ (Mathematics: M) )
หรือหลักสูตร Coding ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนฝึกคิดอย่างเป็นระบบ ค้นเจอปัญหาและเงื่อนไข รู้เหตุและผล
เข้าใจกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นทักษะสำคัญและจำเป็นสำหรับเด็กในยุคใหม่
รวมไปถึงหลักสูตรด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
ซึ่งถือว่าสอดคล้องและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต
"ความท้าทายที่รออยู่ในอนาคต"
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ
เช่น อัตราการเกิดของประชากรที่อาจลดลงในระยะยาว
ซึ่งอาจกระทบต่อจำนวนนักเรียนใหม่ในอนาคต
โดยเฉพาะประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว
ในขณะที่อัตราเด็กเกิดใหม่ในไทยก็หดตัวในระดับวิกฤต
ตัวเลขล่าสุด ปีที่ผ่านมา มีเด็กเกิดใหม่ไม่ถึง 5 แสน
ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี สอดคล้องกับการแต่งงานที่ลดลง
และแนวโน้มเองก็ยังคงไปในทิศทางลดลงต่อเนื่องด้วย
นอกจากนี้ ต้นทุนต่างๆในการบริหารโรงเรียนก็มีความเสี่ยงที่จะสูงขึ้น
เช่น ค่าแรงครู และการบำรุงรักษาโรงเรียน
ค่าใช้จ่ายด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ต้องใช้เทคโนโลยีก็อาจจะแพงขึ้น
ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิในระยะยาวได้เช่นกัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
