รีเซต

ซื้อสังคมให้ลูก ? ลงทุนเพื่อการศึกษา ? ทางออก = โรงเรียนอินเตอร์ ?

ซื้อสังคมให้ลูก ?   ลงทุนเพื่อการศึกษา ?   ทางออก = โรงเรียนอินเตอร์ ?
TNN ช่อง16
19 มิถุนายน 2568 ( 08:00 )
13

"โรงเรียนนานาชาติโตพุ่งแรง สวนกระแสเศรษฐกิจ"

 

ธุรกิจโรงเรียนอินเตอร์หรือโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย

ถือว่ากำลังโตพุ่งแรงสวนทางกับเศรษฐกิจ 

เช่นปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าธุรกิจโรงเรียนอินเตอร์  มีรายได้กว่า 8 พันล้านบาท 

แม้ค่าเทอมจะแพงกว่าโรงเรียนทั่วไปหลายเท่า

แต่ดูเหมือนว่าพ่อแม่คนที่มีกำลัง ต่างก็ฝันอยากให้ลูกได้เข้าไปเรียนกัน เพราะอะไร ?  


อ้างอิงจากข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าปัจจุบันนี้ไทยมีโรงเรียนนานาชาติอยู่ทั้งหมด 257 แห่ง

ขณะที่ข้อมูลจาก "กรมพัฒนาธุรกิจการค้า" กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า 

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ นั้นน่าจับตามอง เพราะมาแรงสวนกระแสเศรษฐกิจ 


นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า 

จากคลังข้อมูลธุรกิจ DBD DataWarehouse+ พบว่า ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย 

มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง และเป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง 

และจากการจัดทำบทวิเคราะห์เจาะลึกธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในบ้านเรา 

พบว่าโรงเรียนนานาชาตินั้นได้รับความนิยมจากผู้ปกครองที่มีรายได้สูง 

โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี และภูเก็ต 

รวมกันแล้วจังหวัดเหล่านี้มีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่รวมกันแล้วมากกว่า 80% 

ของทั้งประเทศ 


พ่อแม่ในไทย ผู้ปกครองในไทยที่มีเงิน มีกำลังมากพอ

จะนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ 

รวมไปนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาทำงานในไทยพร้อมครอบครัว

ก็นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยเช่นกัน


สาเหตุหรือปัจจัยสำคัญที่พ่อแม่ยุคใหม่กลุ่มนี้ เลือกโรงเรียนนานาชาติแทนโรงเรียนทั่วไป  

ทั้งโรงเรียนเอกชนหรือรัฐบาล เพราะอยากให้ลูกหลานสุดที่รัก 

ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ทั้งด้านการเรียนรู้ภาษา 

วัฒนธรรมที่หลากหลาย และทักษะที่จำเป็นต่ออนาคต 


ซึ่งโรงเรียนอินเตอร์ได้ตอบโจทย์สำคัญ ถึง  3 เรื่อง คือ 


1. การให้ความสำคัญกับคุณภาพของครู 

ครูหนึ่งต่อดูแลนักเรียนแค่ 8 คน ได้ดูแลและติดตามการเรียนสอนได้อย่างใกล้ชิด


2. มาตรฐานระบบการศึกษา 

ส่วนใหญ่โรงเรียนนานาชาติที่เข้ามาเปิดในประเทศไทย 

มักจะเป็นเครือข่ายจากต่างประเทศที่มีระบบการเรียนการสอนแบบสากล


3. การขยายตัวของชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน หรือทำธุรกิจในประเทศไทย 

ซึ่งมักจะมีครอบครัวติดตามมาด้วย 

คนกลุ่มนี้นิยมเลือกโรงเรียนนานาชาติเป็นที่เรียนให้กับบุตรหลาน


ทั้งนี้ปัจจุบันนี้โรงเรียนนานาชาติในไทยส่วนใหญ่มีการขยายหลักสูตร

ที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล หรือเทียบเท่ากับการส่งลูกไปเรียนในต่างประเทศ

แต่เด็กยังได้อยู่ในเมืองไทย ที่ใกล้ชิดกับครอบครัว 

และเมื่อบวกลบคูณหารหรือมาคำนวณค่าใช้จ่ายดูแล้ว

สุดท้ายแล้วอาจจะยังถูกกว่าส่งลูกไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยซ้ำไป  




 "พ่อแม่อยากซื้อสังคมให้ลูก ? "


หนึ่งในปัจจัยน่าสนใจที่คนนิยมส่งเรียนลูกอินเตอร์ 

ที่พูดแบบเข้าใจง่ายๆ คือ "พ่อแม่อยากซื้อสังคมให้ลูก"

เป็นหนึ่งในแรงหนุนทางจิตวิทยา


พ่อแม่มองว่า โรงเรียน คือ สถานะทางสังคม หรือ Status 

แม้ว่าการเรียนในโรงเรียนนานาชาติต้องจ่ายสูงกว่าทางเลือกทั่วไป 

แต่ผู้ปกครองที่มีรายได้สูงก็เลือกที่จะลงทุนด้านการศึกษาให้แก่บุตรหลาน

เพราะหวังจะได้รับการยอมรับในสังคม และอยู่ในระดับอินเตอร์ 

ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและความมั่งคั่ง

จากสมัยก่อนคนรวยๆ มักจะนิยมส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเท่านั้น

รวมไปถึงเรื่องหลักสูตรพิเศษหรือเฉพาะทางที่ทันสมัย 

ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติด้วยเช่นกัน  


และวันนี้โรงเรียนนานาชาติ ได้กลายเป็นธุรกิจมาแรงแซงทางโค้ง

เพราะสามารถทำรายได้พุ่งไปกว่า 8 พันล้านบาท 

และทำกำไรได้ดีมาก ด้วยตัวเลขกว่าพันล้านบาทต่อปี 


ค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเรียนอินเตอร์ในประเทศไทย

โรงเรียนระดับท็อป 10 อันดับแรก ที่มีค่าเทอมสูงสุด

พบกว่าพ่อแม่ต้องเสียเงินค่าเทอมสูงสุดถึงหลักล้านบาท

โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,109,400 - 905,300 บาท ต่อ ปี


ค่าเทอมสูง แต่พ่อแม่ก็ลงทุนยอมจ่าย

โรงเรียนจึงมีรายได้ที่ดี และยังเติบโตแบบ"ก้าวกระโดด" 

มีโรงเรียนนานาชาติในไทยเปิดใหม่หรือขยายสาขา เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

จากข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 

มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนในธุรกิจหมวดการศึกษา 

ทั้งหมดจำนวน 7,511 ราย 

มีทุนจดทะเบียนรวม 50,633 ล้านบาท 


และนอกจากคนไทยแล้วก็ยังมีลงทุนจากต่างชาติเข้ามาด้วยเช่นกัน  

ด้วยเงินจำนวนไม่น้อย มูลค่ารวมถึง 5,733 ล้านบาท 


ทั้งนี้เมื่อเราเจาะเข้าไปดู จะพบว่าประเทศที่เข้ามาลงทุนในมากที่สุด

 3 อันดับแรก คือ 

1.อังกฤษ 30% ทุนจดทะเบียน 1,706 ล้านบาท 

2.จีน 11% ทุนจดทะเบียน 636 ล้านบาท 

3.สิงคโปร์ 7% ทุนจดทะเบียน 428 ล้านบาท



"ฟื้นตัวเร็ว เติบโตก้าวกระโดด แต่เด็กเกิดน้อยคือความเสี่ยงในอนาคต"

 

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

จากข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างนิติบุคคลโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย 

จำนวน 20 ราย พบว่าย้อนกลับไป 5 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2563-2567 

ซึ่งถ้าหากเราจำกันได้ดี จะมีช่วงนึง ที่ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบหนัก

จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมไปถึงโรงเรียนต้องหยุดล็อกดาวน์

และวิกฤตนี้ก็ทำให้เด็กนักเรียนต่างชาติต้องเดินทางกลับประเทศ 

หรือต้องเรียนออนไลน์ทดแทน  และทำให้รายได้ของโรงเรียนชะลอตัวลง 

แต่ปรากฎว่าไม่นานนัก หลังจากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปแล้ว 

ปรากฎว่าธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย

พลิกฟื้นตัวได้ กลับมาทำรายได้ และมีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องได้อีกครั้งนึง


รายงานระบุว่า 

ปี 2565 ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย สร้างรายได้ 5,723 ล้านบาท 

เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.57% กำไร 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 55.75%


ปี 2566 รายได้ก้าวกระโดดเป็น 7,327 ล้านบาท 

เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 28.04% กำไร 1,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 136.28%


ขณะที่ปีที่แล้ว ปี 2567 

ก็ยังทำรายได้โตต่อเนื่องเป็น 8,313 ล้านบาท 

เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.45% กำไร 1,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14.08%


จะเห็นได้ว่าตัวเลขการเติบโตนั้นแข็งแกร่ง มีทั้งสองหลัก และสามหลักด้วยซ้ำไป 

ดังนั้นในอนาคต มุมมองจากทางอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 

จึงเชื่อมั่นว่าธุรกิจโรงเรียนอินเตอร์แบบนี้ ยังมีโอกาสโต และสามารถขยายต่อไปได้อีกมาก 


มองในแง่ของธุรกิจ นี่คือ โอกาสที่น่าสนใจ

ถ้าหากเรามองย้อนไปในอดีต โรงเรียนนานาชาติ อาจจะเป็นพื้นที่ของเด็กต่างชาติเป็นหลัก

และกระจุกอยู่ในเมืองหลวง แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนของเด็กนักเรียนไทยมากขึ้น

และกระจายในต่างจังหวัด ครอบคลุมทุกภาค โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวต่างๆ 

ที่มีต่างชาติย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐาน  เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา 

ดังนั้นในระยะต่อไปการขยายตลาดของโรงเรียนนานาชาติในไทย ไม่ใช่พียงแค่การเพิ่มสาขาเท่านั้น 

แต่ยังยกระดับไปถึงการพัฒนาหลักสูตร ที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ 

เช่น การพัฒนาหลักสูตรพิเศษ  STEM  หมายถึง 

วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer: E)

และคณิตศาสตร์ (Mathematics: M) ) 

หรือหลักสูตร Coding ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนฝึกคิดอย่างเป็นระบบ ค้นเจอปัญหาและเงื่อนไข รู้เหตุและผล 

เข้าใจกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นทักษะสำคัญและจำเป็นสำหรับเด็กในยุคใหม่ 

รวมไปถึงหลักสูตรด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ  AI 

ซึ่งถือว่าสอดคล้องและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต  


"ความท้าทายที่รออยู่ในอนาคต"


อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ 

เช่น อัตราการเกิดของประชากรที่อาจลดลงในระยะยาว 

ซึ่งอาจกระทบต่อจำนวนนักเรียนใหม่ในอนาคต 

โดยเฉพาะประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว

ในขณะที่อัตราเด็กเกิดใหม่ในไทยก็หดตัวในระดับวิกฤต

ตัวเลขล่าสุด ปีที่ผ่านมา มีเด็กเกิดใหม่ไม่ถึง 5 แสน

ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี  สอดคล้องกับการแต่งงานที่ลดลง 

และแนวโน้มเองก็ยังคงไปในทิศทางลดลงต่อเนื่องด้วย

นอกจากนี้ ต้นทุนต่างๆในการบริหารโรงเรียนก็มีความเสี่ยงที่จะสูงขึ้น

เช่น ค่าแรงครู  และการบำรุงรักษาโรงเรียน 

ค่าใช้จ่ายด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ต้องใช้เทคโนโลยีก็อาจจะแพงขึ้น 

ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิในระยะยาวได้เช่นกัน 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง