รีเซต

เจาะครบทุกมิติ เส้นทางชีวิตและผลงาน อนุทิน ชาญวีรกูล

เจาะครบทุกมิติ เส้นทางชีวิตและผลงาน อนุทิน ชาญวีรกูล
TNN ช่อง16
6 กันยายน 2568 ( 17:33 )
11

วันที่ 5 กันยายน 2568 เป็นอีกวันหนึ่งที่บันทึกลงในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อที่ประชุมรัฐสภามีมติเลือกให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 ต่อ 152 เสียง การได้รับตำแหน่งนี้ถือเป็นผลสืบเนื่องจากเส้นทางยาวนานกว่าสามทศวรรษที่เขาสะสมประสบการณ์ทั้งในแวดวงธุรกิจและการเมือง โดยแต่ละช่วงเวลามีทั้งจุดเปลี่ยน วิกฤต และโอกาสที่หล่อหลอมให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ

รากฐานชีวิตและครอบครัวธุรกิจรับเหมา

อนุทินเกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2509 ในครอบครัวชาญวีรกูล บิดาคือชวรัตน์ ชาญวีรกูล ผู้ก่อตั้งบริษัท ซิโน–ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (STEC) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทรับเหมารายใหญ่ของประเทศ โดยมีผลงานก่อสร้างโครงการสำคัญของรัฐและเอกชน ตั้งแต่ระบบขนส่ง รถไฟฟ้า ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

การเติบโตในครอบครัวที่เกี่ยวพันกับธุรกิจรับเหมาทำให้อนุทินซึมซับความเข้าใจเรื่องการจัดการต้นทุน การวางแผนโครงการ และการเจรจาผลประโยชน์ระหว่างภาครัฐกับเอกชน ตั้งแต่วัยเด็กเขาคุ้นชินกับบรรยากาศการทำงานในไซต์ก่อสร้างและห้องประชุมธุรกิจ ซึ่งกลายเป็นรากฐานความคิดด้านการจัดการที่ใช้ต่อยอดในเส้นทางอาชีพ

การศึกษาและประสบการณ์ในต่างแดน

อนุทินเริ่มการศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่ Worcester Academy ในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และต่อปริญญาตรีด้านวิศวกรรมอุตสาหการจากมหาวิทยาลัยโฮฟสตรา ในนิวยอร์กในปี 2532 หลังจากนั้นได้เข้าทำงานกับ Mitsubishi Corporation ในนิวยอร์กในตำแหน่ง Production Engineer ประสบการณ์นี้ทำให้เขาเรียนรู้ระบบการผลิตและมาตรฐานการจัดการระดับโลก

การทำงานในองค์กรข้ามชาติทำให้เขาเห็นความสำคัญของวินัย การวิเคราะห์ข้อมูล และการบริหารทีมงานขนาดใหญ่ ภายหลังเมื่อกลับมาประเทศไทย เขาได้เข้ามาช่วยบริหารธุรกิจครอบครัวในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปและต่อมาเป็นกรรมการผู้จัดการ STEC ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี ทำให้เขากลายเป็นผู้บริหารที่เข้าใจทั้งตลาดเอกชนและโครงการของรัฐ

จากบอร์ดธุรกิจสู่เวทีการเมือง

ปี 2539 อนุทินเข้าสู่การเมืองครั้งแรกในตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนจะได้รับโอกาสเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และต่อมาที่กระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ประสบการณ์ในช่วงนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้ระบบราชการ การวางนโยบายด้านสาธารณสุข และเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์

หลังการรัฐประหารปี 2549 เส้นทางการเมืองของเขาสะดุดลง แต่เขาเลือกปรับตัวและกลับมาด้วยการเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2551 และได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคในปี 2555 นับจากนั้นพรรคภูมิใจไทยค่อยๆ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นพรรคตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลเกือบทุกครั้ง

วิกฤตโควิด-19 และบทพิสูจน์ฝีมือ

เมื่อเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขในปี 2562 อนุทินต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2563 การจัดหาวัคซีน 140 ล้านโดส การตั้งโรงพยาบาลสนามในหลายจังหวัด และนโยบายฉีดวัคซีนฟรีแก่ประชาชนทุกคน รวมถึงแรงงานข้ามชาติ เป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของเขา

ผลจากการบริหารจัดการทำให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับจากองค์การอนามัยโลกว่าเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขติดอันดับ 5 ของโลก และอันดับ 1 ของโลกด้านการฟื้นตัวจากโควิด-19 นอกจากนี้เขายังสนับสนุนงานวิจัยวัคซีนโดยคนไทย เช่น ความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า

นโยบายกัญชาทางการแพทย์

อีกหนึ่งนโยบายที่สร้างการถกเถียงในสังคมคือการปลดล็อกกัญชาจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาด้วยกัญชาทางการแพทย์ และสร้างรายได้จากเศรษฐกิจพืชสมุนไพร

แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่อนุทินยืนยันว่ามีมาตรการควบคุมเข้มงวด เช่น การห้ามสูบในที่สาธารณะ การห้ามขายให้เยาวชน และการออกใบอนุญาตอย่างรัดกุม เขามองว่านโยบายนี้คือการสร้างสมดุลระหว่างประโยชน์ด้านสาธารณสุขและการป้องกันผลกระทบทางสังคม

บทบาทในกระทรวงมหาดไทย

ปี 2566 เขาย้ายไปกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทยและประกาศนโยบาย 5 ประการ ได้แก่ การจัดการผู้มีอิทธิพล ปราบปรามยาเสพติด เพิ่มรายได้ประชาชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และจัดตั้งโครงการน้ำดื่มสะอาดทั่วประเทศ

โครงการน้ำดื่มสะอาดถือเป็นนโยบายเรือธง โดยตั้งเป้าติดตั้งตู้น้ำดื่ม 100,000 จุดภายในปี 2570 ในราคาขาย 0.50–1.00 บาทต่อลิตร ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนและยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชนบท นอกจากนี้เขายังพัฒนาระบบ One Stop Service ในการให้บริการประชาชน และเน้นการทำงานแบบ One Team เพื่อให้การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โครงการหัวใจติดปีก

สิ่งที่ทำให้อนุทินแตกต่างจากนักการเมืองหลายคนคือการใช้ความสามารถด้านการบินส่วนบุคคลมาสร้าง “หัวใจติดปีก” โครงการนี้เริ่มในปี 2563 โดยใช้เครื่องบินขนาดเล็กเป็นพาหนะช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินจากพื้นที่ห่างไกล ส่งตัวอย่างตรวจทางการแพทย์ในช่วงโควิด และสำรวจพื้นที่ประสบภัย เช่น น้ำท่วมและดินถล่ม

ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานกว่า 1,200 ชั่วโมงบิน โครงการนี้ช่วยผู้ป่วยมากกว่า 350 รายใน 40 จังหวัด และทำงานร่วมกับกรมการแพทย์ สำนักงานการบินพลเรือน รวมถึงมูลนิธิกู้ชีพต่างๆ ผลงานดังกล่าวสะท้อนแนวคิด “พูดแล้วทำ” และการนำศักยภาพส่วนตัวมาสร้างประโยชน์แก่สังคม

วันแห่งชัยชนะและภาพครอบครัว

เมื่อผลโหวตนายกรัฐมนตรีประกาศในเย็นวันที่ 5 กันยายน 2568 ภาพอนุทินก้มกราบบิดาที่โรงพยาบาลหลังจากนั้นไม่นานกลายเป็นภาพที่สังคมกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง เพราะสะท้อนความกตัญญูและความผูกพันในครอบครัว แม้เขาจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองแล้ว แต่ยังคงยึดถือค่านิยมดั้งเดิมของสังคมไทย

วิสัยทัศน์และภารกิจในฐานะผู้นำรัฐบาล

ภายหลังจากรับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าจะฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” ในรูปแบบใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก พร้อมแต่งตั้งทีมเศรษฐกิจและการต่างประเทศที่แข็งแกร่ง เช่น เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่กระทรวงการคลัง สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ที่กระทรวงการต่างประเทศ และอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่กระทรวงพลังงาน

นอกจากนี้เขายังประกาศจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจระยะเวลา 4 เดือน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน โดยเฉพาะการดูแลเศรษฐกิจ ปากท้อง และการสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน

จากทายาทธุรกิจรับเหมาที่ถูกเรียกว่า “เสี่ยหนู” สู่การเป็นผู้นำรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล ผ่านทั้งช่วงเวลาของการปรับตัว วิกฤต และความสำเร็จ ผลงานในการบริหารโควิด นโยบายกัญชา การปฏิรูปมหาดไทย และโครงการหัวใจติดปีก เป็นเครื่องยืนยันถึงแนวทาง “พูดแล้วทำ” ที่เขายึดมั่น

ในวัย 58 ปี เขากำลังก้าวสู่บททดสอบครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิตการเมือง นั่นคือการบริหารประเทศให้เดินไปข้างหน้า ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจและความคาดหวังจากประชาชน


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง