ผลวิจัยมะกันเตือนวัยรุ่น สูบบุหรี่ไฟฟ้า เสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงขึ้น 5-7 เท่า
ผลวิจัยมะกันเตือนวัยรุ่น สูบบุหรี่ไฟฟ้า เสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงขึ้น 5-7 เท่า
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล (รพ.) รามาธิบดี เปิดเผยงานวิจัยชิ้นใหม่จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ในวารสารสุขภาพวัยรุ่น หรือ Journal of Adolescent Health เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ซึ่งได้สำรวจกลุ่มเด็กและวัยรุ่นในสหรัฐ อายุ 13-24 ปี จำนวน 4,351 คน เก็บข้อมูลการสูบบุหรี่ไฟฟ้า บุหรี่ธรรมดา ประวัติการตรวจหาเชื้อ และอาการป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่ไฟฟ้า กับการติดเชื้อโควิด-19 โดยควบคุมปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น อายุ เพศ สถานะทางสังคม เชื้อชาติ น้ำหนักตัว และความร่วมมือในการกักตัวที่บ้าน ฯลฯ
พญ.เริงฤดี กล่าวว่า ผลการวิจัยพบว่า วัยรุ่นที่เคยลองสูบบุหรี่ไฟฟ้าจะเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น 5 เท่า และถ้าเคยลองสูบทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ธรรมดา หรือสูบบุหรี่ทั้ง 2 ประเภท เป็นประจำ พบเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นเป็น 7 เท่า และพบว่ากลุ่มที่สูบทั้ง 2 ประเภทนี้ เมื่อติดเชื้อจะแสดงอาการสูงขึ้นถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับวัยรุ่นที่ไม่เคยสูบบุหรี่
“การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นการทำลายปอด ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ รวมทั้งโควิด-19 งานวิจัยหลายชิ้นสรุปว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าทำให้ปอดแย่พอๆ กับการสูบบุหรี่ธรรมดา การสูบบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะบุหรี่ไฟฟ้าถูกออกแบบมาให้มีความทันสมัยเพื่อเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่น ตัวบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคตินทำให้เสพติด วัยรุ่นส่วนมากไม่รู้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเสพติด จึงไปทดลองใช้จนติดเลิกไม่ได้ พบว่าวัยรุ่นที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน เมื่อลองสูบบุหรี่ไฟฟ้าจะมีโอกาสเริ่มสูบบุหรี่ธรรมดาเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า จนกลายเป็นว่าติดทั้งบุหรี่ธรรมดาและบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีอันตรายเพิ่มขึ้นอีก” พญ.เริงฤดี กล่าว
ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ปัญหาที่แท้จริงของบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้อยู่ที่ผู้คนถกเถียงกันว่า บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายมากหรือน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา ซึ่งยังต้องรอเวลาให้มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าไปอีกระยะหนึ่งเพื่อพิสูจน์ แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ บุหรี่ไฟฟ้ามีสารเสพติดนิโคตินเป็นยาสูบชนิดใหม่ที่วัยรุ่นชื่นชอบ ทำให้วัยรุ่นที่ไม่สูบบุหรี่เข้ามาสูบและเสพติดนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นการสร้างปัญหาทางสาธารณสุข จากการเกิดกลุ่มประชากรรุ่นใหม่ที่เสพติดนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งส่วนใหญ่จะเลิกไม่ได้ไปตลอดชีวิต ซึ่งการป้องกันเยาวชนไม่ให้ติดสิ่งเสพติดชนิดใหม่นี้ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กว่า 40 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ห้ามนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้า