ทรัมป์ประกาศเจรจา "อิหร่าน" สัปดาห์หน้า คาดความขัดแย้งปะทุอีก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ แถลงข่าวหลังสิ้นสุดการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต เมื่อวานนี้ (25 มิถุนายน) โดยกล่าวว่า รัฐบาลของเขามีแผนการที่จะพูดคุยกับ "อิหร่าน" ในสัปดาห์หน้า หลังการเจรจาหลายครั้งระหว่างสองประเทศล้มเหลว ทำให้สหรัฐฯโจมตีสถานที่ตั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน  

ขณะเดียวกัน ทรัมป์กล่าวด้วยว่าอิสราเอลและอิหร่านรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว แต่ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศอาจเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง โดยกล่าวกับนักข่าวในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ว่า ทั้งสองประเทศรู้สึกเหนื่อยในการทำสงครามซึ่งกันและกัน โดยที่นักข่าวยังถามทรัมป์ว่าเขาคิดว่าความขัดแย้งจะเริ่มใหม่อีกครั้งได้หรือไม่ ? ทรัมป์ให้คำตอบว่าสักวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ บางทีมันอาจเริ่มต้นได้เร็ว ๆ นี้” 

อย่างไรก็ตาม ในวันที่สองของข้อตกลงหยุดยิงที่เปราะบาง ที่กรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แม้ว่าร้านค้าและสำนักงานหลายแห่งยังคงปิด แต่ชีวิตผู้คนดูเหมือนจะกลับมาปรากฏบนท้องถนนและจัตุรัสสาธารณะในเมืองหลวงอีกครั้ง ขณะที่หลายประเทศในอ่าวอาหรับ ก็รู้สึกโล่งอก และหวังว่า ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน จะยังคงอยู่ต่อไป 

ทั้งนี้ ตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้น หลายประเทศในอ่าวอาหรับ รวมถึงกาตาร์, ซาอุดีอาระเบียและโอมาน ต่างก็ดำเนินการทางการทูตหลังบ้านอย่างเร่งด่วนกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แต่ทันทีที่ทรัมป์ตัดสินใจโจมตีสถานที่ตั้งโครงการนิวเคลียร์ในอิหร่าน ผู้นำของประเทศเหล่านี้ ก็รู้ทันทีว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป เกิดความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่อิหร่านโจมตีฐานทัพสหรัฐฯในกาตาร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ภูมิภาคดังกล่าวเป็นที่ตั้งของฐานทัพสหรัฐฯ หลายแห่ง โดยมีทหารประจำการอยู่ประมาณ 40,000 ถึง 50,000 นาย

การที่อิหร่านเลือกที่จะโจมตีฐานทัพสหรัฐฯในกาตาร์ สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนจำนวนมาก เนื่องจากกาตาร์ได้สร้างสถานะพิเศษในฐานะคนกลางไกล่เกลี่ย โดยรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับทั้งสหรัฐฯและอิหร่าน แต่อิหร่านมองว่านี่เป็นช่องทางในการส่งสัญญาณโดยไม่ทำลายความสัมพันธ์กับกาตาร์ นอกจากนี้ยังได้แจ้งล่วงหน้าทั้งต่อสหรัฐฯ และกาตาร์ด้วย ซึ่งดูเหมือนว่า ยุทธศาสตร์นี้จะได้ผล

กาตาร์ แถลงว่า การโจมตีดังกล่าวเป็น "การละเมิดอย่างร้ายแรง" ต่ออำนาจอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศ แต่นายกรัฐมนตรี โมฮัมเหม็ด บิน อับดุลราห์มาน บิน จัสซิม อัล ธานี แสดงความหวังว่าความสัมพันธ์จะ "กลับมาเป็นปกติ" ในอนาคต