รีเซต

หมอเฟาซีชี้ ปีหน้าโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น

หมอเฟาซีชี้ ปีหน้าโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น
TNN ช่อง16
17 พฤศจิกายน 2564 ( 15:10 )
36
หมอเฟาซีชี้ ปีหน้าโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น

พร้อมย้ำว่า โรคนี้ไม่มีวันหายไปจากโลกนี้ แต่จะมีอัตราการป่วยมากหรือน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค แทบจะไม่ต่างจากโรคอื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรืออีสุกอีใส


หมอเฟาซีระบุว่า สิ่งสำคัญคือจะต้องลดอัตราการติดเชื้อให้ต่ำถึงขั้นที่ไม่กระทบต่อสังคม ต่อชีวิต และต่อรระบบเศรษฐกิจ จึงจะเรียกว่าเป็นโรคประจำถิ่นได และการติดเชื้อจะยังคงมีอยู่ต่อไป แต่จะน้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลานี้ และไม่กระทบต่อชีวิตของเรามากนัก


---ชาวอเมริกันทุกคนต้องยอมฉีดวัคซีน---


แต่การจะไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว หมอเฟาซีย้ำว่า ชาวอเมริกันจะต้องยอมฉีดวัคซีนเข็มแรก และเข็มกระตุ้นถัดไปด้วย เพราะหากได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นมากพอ ก็มีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะสามารถควบคุมการระบาดของโรคเอาไว้ได้ ภายในฤดูใบไม้ผลิ 2022


"สำหรับผมแล้ว การควบคุมการระบาดได้ ก็ต่อเมื่อประชาชนจำนวนมากได้รับวัคซีน และอีกมากได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น และนั่น...เราไม่จำเป็นต้องกำจัดไวรัสให้หมดไป เพราะการติดเชื้อจะไม่กระทบต่อชีวิตของคุณอีกแล้ว" หมอเฟาซี กล่าว


สำหรับปัจจุบันสหรัฐฯ ได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชนบางกลุ่มแล้ว คือ กลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ผู้สูงวัย 65 ปีขึ้นไป และคนที่มีความเสี่ยงอาการรุนแรงหากติดเชื้อ หรือมีโอกาสติดเชื้อได้มากกว่า ด้วยหน้าที่การงาน หรือการใช้ชีวิต แต่จะต้องฉีดห่างจากเข็ม 2 ราว 6 เดือน


และพบว่าบางเมือง เช่น มหานครนิวยอร์ก ที่ขยายขอบเขตการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นกว้างกว่าที่รัฐบาลกลางแนะนำ


--- ฉีดเข็มกระตุ้นถ้วนหน้าเร็ว ๆ นี้---


ขณะที่ในวันศุกร์นี้ (19 พฤศจิกายน) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ หรือ CDC เตรียมหารือกันอีกครั้่ง ว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วไปได้หรือไม่ ซึ่งหากอนุมัติ ก็จะเริ่มต้นฉีดได้ในสุดสัปดาห์นี้


ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นในกว่าครึ่งของรัฐทั้งหมดในสหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลว่าหน้าหนาวนี้จะรุนแรงขึ้นอีก โดยปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 83,000 คน เพิ่มขึ้นถึง 14% เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ทำให้สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 48 ล้านคน


ส่วนผู้เสียชีวิตรายวันที่ 1,282 คน ทำให้เสียชีวิตสะสม 786,268 คน


---สหรัฐฯ ทุ่มเต็มที่ซื้อยารักษาโควิด---


The New York Times รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังวางแผนสั่งซื้อยาเม็ดต้านโควิด-19 ของบริษัท Pfizer มาเก็บตุนไว้ 10 ล้านชุด ซึ่งจะต้องใช้เงินในการซื้อสูงถึงกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ Pfizer เพิ่งยื่นขออนุมัติยาเม็ดต้านโควิดของตน เพื่อการใช้ฉุกเฉินในผู้ป่วยโควิดที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนต้านโควิด ต่อองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA ไปเมื่อวานนี้ (16 พฤศจิกายน)


ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนสั่งซื้อยาเม็ดต้านโควิดของ Pfizer เป็นครั้งแรก 1.7 ล้านชุด และมีสิทธิ์จะสั่งซื้อเพิ่มอีก 3.3 ล้านชุด ในราคาชุดละ 700 ดอลลาร์ โดยการรับประทานยาเม็ดต้านโควิดของ Pfizer นั้น ผู้ป่วยโควิดต้องรับประทานยา 1 ชุดมี 30 เม็ดในระยะเวลา 5 วัน


สหรัฐ ยังได้สั่งซื้อยาเม็ดต้านโควิดของบริษัท Merck ซึ่งเป็นยาเม็ดรักษาโควิดตัวแรกของโลก ไว้แล้ว 3.1 ล้านชุด และมีสิทธิ์ซื้อเพิ่มอีก 2 ล้านชุด ในราคาชุดละ 700 ดอลลาร์เท่ากับของ Pfizer โดย Merck ได้ยื่นขออนุมัติยาเม็ดต้านโควิดต่อ FDA ไปแล้วก่อนหน้า Pfizer และคาดว่ายาเม็ดของ Merck จะได้รับอนุมัติจาก FDA ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้


Pfizer คาดว่าจะสามารถผลิตยาเม็ดต้านโควิดได้กว่า 180,000 ชุดภายในสิ้นปีนี้ และจะผลิตได้กว่า 21 ล้านชุดในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า 2022 ส่วน Merck คาดว่าจะเริ่มผลิตยาเม็ดต้านโควิดได้ในปีหน้า 2022


ส่วนสถานการณ์โควิดล่าสุดในสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่อาวุโสในรัฐบาลไบเดนเชื่อว่า สหรัฐฯ ได้ผ่านพ้นจุดที่เลวร้ายที่สุดของการระบาดของโควิด-19 ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ฤดูหนาวที่เริ่มจะมาถึงนี้ โควิดอาจระบาดเพิ่มขึ้นได้ แต่สหรัฐฯ มองว่า ยาเม็ดรักษาโควิดของ Pfizer จะเป็นอาวุธทรงพลังใหม่ล่าสุด ที่จะใช้ต้านทานการระบาดของโควิดได้ และสหรัฐฯ ได้ฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรวัยผู้ใหญ่ครบโดสแล้วกว่าร้อยละ 70


ทั้งนี้ ผลการทดลองให้ยาเม็ดต้านโควิดของ Pfizer กับผู้ป่วยโควิดที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนต้านโควิดและมีอาการของโควิดและมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการทรุดหนัก ปรากฏว่า สามารถลดความเสี่ยงในการเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 89 หลังได้รับยา 3 วันหลังจากเริ่มปรากฏอาการโควิด.

—————

แปล-เรียบเรียง: ภัทร จินตนะกุล

ภาพ: AFP

ข่าวที่เกี่ยวข้อง