รีเซต

เร่งสู้ “โลกร้อน” ทางรอดไทยขยับสู่รายได้สูง

เร่งสู้ “โลกร้อน” ทางรอดไทยขยับสู่รายได้สูง
TNN ช่อง16
8 ตุลาคม 2568 ( 10:59 )
9

“ธนาคารโลก” (World Bank) เพิ่งเผยแพร่ “รายงานสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาของประเทศไทย” (Thailand Country Climate and Development Report) ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสามารถของไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการพัฒนามานานหลายทศวรรษ โดยเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคเกษตรสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมและขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ทั้งนี้ ระหว่างปี 2523-2562 ไทยมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 3.8 สูงกว่าอินโดนีเซียและมาเลเซีย ถึงจะตามหลังเวียดนามก็ตาม แต่เป้าหมายของไทยที่จะขยับสู่การเป็นประเทศรายได้สูงยังคงเผชิญอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการลงทุนที่ชะลอตัว การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างจากการพึ่งพาภาคเกษตรกรรมไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มเป็นไปอย่างล่าช้า การกีดกันการค้าเพิ่มขึ้นจนกระทบการส่งออก และการเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ รายได้และความมั่งคั่งยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ แต่พื้นที่อื่น ๆ ยังเผชิญความท้าทายในการพัฒนา 

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น โดยไทยติดอันดับ 30 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะความเสี่ยงจากน้ำท่วมในเขตเมืองที่ติดอันดับแถวหน้าของโลก ทั้งนี้ ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่เสี่ยงเกิดน้ำท่วมมากที่สุดในโลก และคาดว่าผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะรุนแรงขึ้น โดยลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรร้อยละ 40 และคิดเป็นร้อยละ 78 ของแรงงานทั้งหมด มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 66 ของ GDP จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่ทวีความรุนแรงและมีความถี่มากขึ้น กรณีน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 สร้างความเสียหายคิดเป็นร้อยละ 12.6 ของ GDP 

นอกจากนี้ ในหลายพื้นที่ของไทยยังมีความเสี่ยงจากภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำ การกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งกระทบต่อภาคการเกษตร การผลิต และการท่องเที่ยว ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ชายฝั่งของไทยร้อยละ 30 เผชิญปัญหากากัดเซาะ ส่งผลให้สูญเสียพื้นที่คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ ไม่รวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความเสียหายอื่น ๆ เมื่อใช้แบบจำลองประเมินความเสียหายด้านการท่องเที่ยวน่าจะสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ภายในกลางทศวรรษ 2040 หากไม่มีการปรับแผนรับมือเรื่องนี้ที่เป็นความเสี่ยงหลัก

แม้ว่าไทยจะไม่ใช่ประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก แต่ก็ยังอยู่ในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ โดยไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อคนต่อปี (per capita) อยู่ที่ 6.3 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.12 ในระหว่างปี 2554-2564 ในขณะที่จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 9.1    ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และขยายตัวร้อยละ 2.22 ในช่วงเดียวกัน ส่วนเวียดนามปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.6 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.45 ด้านกัมพูชาและอินโดนีเซียปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าไทย แถมมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง สำหรับสหรัฐฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อคนต่อปีมากถึง 16.8 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ไทยยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก โดยเฉพาะในการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง และอุตสาหกรรมหนัก ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดจำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูปโครงสร้างในอุตสาหกรรมสำคัญ และการลงทุนจำนวนมากเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียน การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การนำกลไกการกำหนดราคาคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพมาใช้จะมีส่วนสำคัญ เพราะจะกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ ตระหนักถึงต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงนำไปสู่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนและการบริโภค การสร้างรายได้เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมสีเขียว แต่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหากปราศจากการปฏิรูปและการลงทุนอื่น ๆ


น่าสังเกตว่า รูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกของไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้น ยกเว้นไทยจะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อลดความเสี่ยงและคว้าโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยชะลอตัวลง ประกอบกับภูมิทัศน์การค้าโลกมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ทั้งจากลัทธิกีดกันทางการค้า กฎระเบียบด้านการค้าที่แยกยิบย่อย และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งกระทบต่อการเข้าถึงตลาดและความสามารถในการแข่งขันของไทย ขณะที่การเร่งตัวของเทคโนโลยีหลังวิกฤตโควิด ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กำลังพลิกโฉมการผลิตและการค้าโลกไปจากเดิม ความต้องการสินค้าและบริการคาร์บอนต่ำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกสะท้อนว่า ความสามารถด้านการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ไทยตั้งเป้าหมายที่จะขยับสู่การเป็นเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และประเทศรายได้สูง ภายในปี 2580 ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ระหว่างปี 2561-2580 ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายนี้จำเป็นต้องผลักดันให้ GDP ขยายตัวอย่างยั่งยืนประมาณร้อยละ 5 ต่อปี ในช่วง 13 ปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็นเกือบเท่าตัวของอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 2.6 นับตั้งแต่ปี 2553

รายงานเตือนว่า หากไม่มีการปรับตัวอย่างจริงจัง ผลกระทบทางกายภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ GDP ของไทยลดลงร้อยละ 7–14 ภายในปี 2593 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า เท่ากับการมุ่งสู่ประเทศรายได้สูงจะกลายเป็นความฝันที่ไกลออกไป เพราะต้องการการขยายตัวของ GDP เฉลี่ยร้อยละ 5 นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ ผลกระทบทางเศรษฐกิจในบางปีอาจจะมีมูลค่ามหาศาลกว่าความสูญเสียเฉลี่ยต่อปีที่เคยประเมินไว้ 

โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากกรณีน้ำท่วมเนื่องจากการทรุดตัวของแผ่นดินในเขตกรุงเทพฯ และชานเมือง ซึ่งผลกระทบจะรุนแรงขึ้นจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและความรุนแรงของพายุที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แม้ว่ารายงานฉบับนี้จะไม่ได้นำกรณีน้ำท่วมกรุงเทพฯ มาคำนวณในแบบจำลอง แต่มีความเป็นไปได้ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เนื่องจากคนไทยราว 1 ใน 4 อาจได้รับผลกระทบโดยตรง ขณะที่เขตเมืองหลวงมีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของ GDP ทั้งประเทศ ขณะที่ผลกระทบต่อประชาชนกลุ่มยากจนและกลุ่มเปราะบางจะรุนแรงที่สุด พื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำและเสี่ยงต่อน้ำท่วมของไทยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ยากจนที่สุดเช่นกัน พื้นที่เหล่านี้มีลักษณะการพึ่งพาการเกษตรและการประมงที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพอากาศร้อนและภัยแล้งมากเป็นพิเศษ

ไทยตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญ เดิมทีไทยตั้งเป้าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2608 แต่รัฐบาลนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล เพิ่งประกาศปรับเป้าหมายให้เร็วขึ้น 15 ปี หรือต้องการบรรลุผลภายในปี 2593 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกี่ยวกับนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของไทย และส่งสัญญาณชัดเจนว่า นี่เป็นทางรอดของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ไม่ใช่แค่ทางเลือก

ภายใต้ฉากทัศน์ของการเร่งลดการปล่อยคาร์บอน ไทยจะได้รับประโยชน์เกี่ยวกับคุณภาพอากาศและสาธารณสุขอย่างมีนัยสำคัญ ควบคู่ไปกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน การนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้อย่างแพร่หลาย และการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ส่งผลให้มลพิษทางอากาศที่เป็นอันตราย อาทิ ฝุ่น PM2.5 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคพลังงานและการขนส่ง นอกจากนี้ หากลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ร้อยละ 83 อาจช่วยป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้มากกว่า 15,000 คนต่อปี ภายในปี 2593


ภายใต้สถานการณ์การเร่งลดการปล่อยคาร์บอนจะช่วยยกระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย รายงานประเมินว่า GDP ของไทยจะสูงขึ้นร้อยละ 2.5 ในปี 2593 เมื่อเทียบกับสถานการณ์ฐานที่ไม่มีการลงมือทำอะไร ซึ่งในระยะสั้น การเติบโตของ GDP ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายด้านการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในโครงการพลังงานหมุนเวียน ส่วนในระยะยาว การเติบโตของ GDP ส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคของภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากราคาพลังงานหมุนเวียนที่ถูกลง และการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง

อย่างไรก็ตาม ความสูญเสียจากการไม่ทำอะไรเลยมีมูลค่าสูงกว่าการลงทุนเพื่อรับมือโลกร้อน โดยการลงทุนในโครงการป้องกันและบรรเทาภัยน้ำท่วม การปกป้องชายฝั่ง การสร้างความมั่นคงด้านน้ำ และการลงทุนด้านเทคโนโลยีทำความเย็นอาจเพิ่ม GDP ได้ร้อยละ 2-3 ภายในปี 2583 และร้อยละ 4–5 ต่อปี ภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ โดยหากคิดเป็นเงินลงทุนเฉลี่ยต่อปีจะสูงกว่าร้อยละ 1 ของ GDP เพียงเล็กน้อย ขณะที่ไทยจะได้รับประโยชน์มากขึ้นกว่านี้ หากการดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศได้

ไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคที่พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่นวัตกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างกรณีของจีนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลก โดยมีสัดส่วนการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น รวมถึงจดสิทธิบัตรด้านพลังงานหมุนเวียนและรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและการแข่งขันในระดับภูมิภาคได้ช่วยลดต้นทุนและขยายการเข้าถึงตลาด อย่างกรณีการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในเวียดนาม และการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย ซึ่งสะท้อนว่า ประเทศในภูมิภาคนี้มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าการส่งออกสินค้าเป็นมิตรสิ่งแวดล้อมของไทยจะเติบโต แต่จากข้อมูลในปี 2566 ไทยยังคงตามหลังประเทศเพื่อนบ้านและผู้ส่งออกรายใหญ่ อาทิ จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ความต้องการเทคโนโลยีเป็นมิตรสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับไทย ปัจจุบัน ไทยเป็นผู้นำในการส่งออกเครื่องปรับอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ร้อยละ 4 ของตลาดโลก ทั้งนี้ การเพิ่มการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แผงโซลาร์เซลล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน อาจช่วยเพิ่ม GDP ของไทยได้อีกร้อยละ 2–3 ภายในปี 2573

ไทยจะต้องใช้เงินลงทุนเพื่อรรับมือกับโลกร้อนตลอด 25 ปีข้างหน้า ราว 2.19 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.4 ของ GDP สะสม ซึ่งไทยสามารถดำเนินการผ่านกลไกกำหนดราคาคาร์บอน ควบคู่กับการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีที่ดิน ประกอบกับการระดมทุนในส่วนของภาคเอกชน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง