"คนละครึ่งพลัส" ปรับเงื่อนไข อายุ 16 ปี ร้านค้าลงทะเบียน 15 ตุลาคม 2568 เริ่มใช้จ่าย 29 ตุลาคม 2568

“เอกนิติ” ชี้แจงเงื่อนไข-สิทธิโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ร้านค้าลงทะเบียน 15 ตุลาคม 2568 ประชาชน 20-26 ตุลาคม 2568 ทำผ่าน “เป๋าตัง” เริ่มใช้จ่าย 29 ตุลาคม 2568นี้ ปรับอายุเริ่มจาก 16 ปี
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตอบคำถามเรื่อง โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ภายใต้รัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่าต่างจากคนละครึ่งและโครงการเงินหมื่นอย่างไร หลังจากถูกตั้งกระทู้ถามในสภา โดยระบุว่า ขออธิบายถึงประชาชนด้วยว่า วันนี้สภาพเศรษฐกิจแย่มาก ประชาชนได้รับความเดือดร้อน การซื้อขายไม่คล่องตัว นำไปสู่ปัญหาหนี้สิน ซึ่งประเทศไทยคนก็เป็นหนี้เยอะอยู่แล้ว เศรษฐกิจเหมือนรถยนต์ที่กำลังจะติดหล่ม ถ้าไม่ทำอะไรมันจะตกเหว การออกนโยบายนายกรัฐมนตรีได้แนะนำว่าควรจะมีอะไรที่ฟื้นเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมมอบนโยบายว่าต้อง Quick (เร็ว) Big (ใหญ่) Win (ประชาชนได้ประโยชน์) โดยแนะนำ "คนละครึ่ง" แต่ทำอย่างไรให้คิดถึงเรื่องระยะยาวด้วย จึงใช้คำว่า “คนละครึ่งพลัส”
นายเอกนิติ กล่าวว่า คนละครึ่งหลักการคล้ายเดิม คือ ประชาชนไปซื้อของ รัฐบาลออกให้ครึ่งหนึ่ง (co-payment) จากเดิมให้สิทธิวันละ 150 บาท แต่วันนี้เศรษฐกิจมาก จึงต้องบิ๊กพอที่จะช่วยฟื้นได้ จึงตัดสินใจว่าจะใช้ 200 บาท คือ รัฐบาลสมทบ 200 บาท ประชาชนมี 200 บาท เป็นทั้งบิ๊กคือใหญ่ และควิกคือเร็วด้วย เพราะเราใช้งบประมาณที่มีอยู่แล้ว คืองบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท บวกกับงบกลางอีก 19,000 ล้านบาท รวมเป็น 44,000 ล้านบาท เป็นงบประมาณที่มีอยู่แล้วจึงไม่ได้เพิ่มภาระทางการคลัง
ขณะที่ Win คือ สิทธิ์ประชาชน 20 ล้านคน จะได้ประโยชน์ในการลดค่าครองชีพ เพราะครึ่งหนึ่งรัฐบาลสมทบให้ ร้านค้าจะเกิดการหมุนเวียน ย้ำว่าให้เฉพาะร้านค้าขนาดเล็ก ไม่ได้ให้ร้านใหญ่ๆ ที่เป็นของบริษัทขนาดใหญ่ เพราะต้องการให้เงินไปตกกับประชาชนจริงๆ รวมถึงนิติบุคคลเล็กๆ ที่อยู่ในระบบภาษีก็เข้าร่วมได้ด้วย สำหรับสิทธิที่ต่างจากเดิม ช่วงอายุผู้เข้าร่วมโครงการเริ่มตั้งแต่อายุ 16 ปี (เดิม 18 ปี) และให้สิทธิร้านค้าเล็กๆ SME เล็กๆ เข้าร่วมได้ด้วย
สำหรับคนละครึ่ง “พลัส” คือการเพิ่มอะไรเข้ามาบ้าง
พลัสที่ 1 คนในระบบภาษีจะได้ 60% หรือ 2,400 บาท จากเดิม 50% แต่ประชาชนที่ไม่อยู่ในระบบภาษีจะได้ 2,000 บาท เพื่อสะท้อนให้กับเรตติ้งเอเจนซี่รู้ว่าเราคำนึงถึงวินัยการคลัง
พลัสที่ 2 กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว เราจะเพิ่มทักษะการขายของออนไลน์ให้พ่อค้าแม่ค้า จากเคยขายของเพียงในตลาด จะสามารถขยายตลาดออนไลน์ได้ ทำให้มีรายได้อย่างยั่งยืน และจะทำระบบบัญชีแบบง่ายๆ เหมือนบัญชีครัวเรือน ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังกำลังประสานกับธนาคารเพื่อให้ปล่อยสินเชื่อได้โดยตรง ถ้าทำบัญชีถูกต้องธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อ จึงเป็นการได้ผลยาวที่ครบวงจร แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ในระยะยาว
ส่วนกรณีความกังวลใจว่าสุดท้ายภาษีจะถูกเก็บย้อนหลังหรือไม่ รวมถึงกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน รวมถึงผู้สูงอายุ ผู้ที่อยู่ห่างไกล จะเข้าถึงสิทธิคนละครึ่งพลัสได้หรือไม่ นายเอกนิติ ตอบว่า คนไม่มีสมาร์ทโฟน เราออกแบบโดยคำนึงถึงเรื่องนี้ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 13.4 ล้านคน ซึ่งการออกแบบคนละครึ่งพลัสจะทำควบคู่กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งปกติจะได้เงิน 300 บาทต่อเดือนเพื่อไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็น เพียง 2-3 วันเงินก็จะหมด เราจึงของบประมาณที่เหลือจากปีที่แล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีกรุณาอนุมัติให้วันสุดท้ายของปี 2568 (30 กันยายน) ที่เราประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันที ไปเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากได้ 300 บาท เราเติมไปอีก 1,700 บาท รวมกันเป็น 2,000 บาท คนกลุ่มนี้เราจะเติมในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่ง 2,000 บาท สิทธิจะเท่ากับคนละครึ่งพอดี
ไทม์ไลน์ “คนละครึ่งพลัส”
15 ตุลาคม 2568 เปิดลงทะเบียนร้านค้า
ประกอบด้วย 1. ร้านอาหาร-เครื่องดื่มทั่วไป 2. ผู้ประกอบการบริการ นวดสปา ทำผม ทำเล็บ 3. บริการขนส่งสาธารณะ อาทิ แท็กซี่ รถรับจ้าง ที่มีใบขับขี่รถสาธารณะ ผู้ประกอบการบริการขนส่งมวลชนสาธารณะ
20-26 ตุลาคม 2568 ประชาชน 20 ล้านสิทธิ์ ลงทะเบียนผ่าน “เป๋าตัง” เป็นระบบมีอยู่แล้ว โดยต้องทำเร็ว ทำทันที ใครเคยลงทะเบียนแล้วก็มายืนยันสิทธิ์เพราะมีข้อมูลอยู่แล้ว ใครยังไม่มีก็มาลงทะเบียน
29 ตุลาคม 2568 เริ่มใช้จ่าย “คนละครึ่งพลัส” ได้ทันที จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 หากใช้ไม่ถึง 200 บาท สามารถสะสมได้
ส่วนในประเด็นภาษี นายเอกนิติ ระบุว่า อยากให้สบายใจ ภาษีเป็นสิ่งสำคัญ เราจะให้ความรู้พ่อค้าแม่ค้า ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษี ถ้าใครเข้าระบบภาษีจะมีสิทธิมากขึ้น ไม่ต้องกลัว เป็นนโยบายชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี อยากให้คิดถึงว่าภาษีจริงๆ เป็นสิ่งสำคัญ จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ต้องกังวลว่าจะไปตามเก็บย้อนหลัง แต่ก็อยากให้เข้าระบบอย่างถูกต้อง
เรื่องการออม เข้าใจวัฒนธรรมคนไทยที่ซื้อหวย ซื้อสลาก แต่จะไม่เหมือนกับหวยเกษียณ เราจะใช้ระบบปกติ กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว โดยการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเราจะกันเงินบางส่วนเป็นเงินออมทุกงวดที่ซื้อ ทั้งนี้สังคมไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ เมื่ออายุ 55 ปี หรือเกษียณออกมาไม่มีอะไรรองรับเลย ต้องพึ่งความต้องการภาครัฐอย่างเดียว โดยเราจะเอาไปสะสมเป็นเงินออมระยะยาว เขาจะถอนได้ตอนอายุ 55 ปี หรือถ้าเกิน 55 ปี ก็ถือไว้ 5 ปี แต่เขาจะเอาตรงนี้สะสมแล้วมาเป็นหลักประกันธนาคารในการกู้เงินได้ถ้ามีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นการเพิ่มการออมให้กับคนไทยที่ซื้อหวยด้วย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
