"หาดใหญ่" วิกฤตครั้งใหญ่? ทำไมปีนี้น้ำท่วมหนักกว่าทุกครั้ง กระทบท่องเที่ยวปลายปี สะเทือน "เศรษฐกิจ"

"หาดใหญ่" วิกฤตครั้งใหญ่? ทำไมปีนี้น้ำท่วมหนักกว่าทุกครั้ง
เปิดสาเหตุทำไมหาดใหญ่จมบาดาล หนักสุดในรอบ 25 ปี วิกฤตที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น กับเมืองดังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เป็นเมืองเศรษฐกิจ ที่สร้างรายได้มหาศาลเข้าสู่ประเทศ
เมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม และมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจเศรษฐกิจของภาคใต้ ของประเทศไทย และแม้น้้ำท่วมหาดใหญ่จะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา แต่ปีนี้ ปี 2568 ต้องเรียกว่าวิกฤต เป็นมหาอุทกภัยที่หนักที่สุดในรอบ 25 ปี
ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน ระบุว่า อำเภอหาดใหญ่ เจอกับภาวะฝนที่หนักสุดในรอบ 300 ปี หมายถึงปริมาณฝนระดับนี้มีโอกาสเกิดขึ้นยากมาก เพียง 1 ใน 300 หรือคิดเป็นความน่าจะเป็นเพียง 0.33% ในแต่ละปี จากการที่วัดปริมาณฝนสูงสุดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 วัดได้ 335 มม. และสะสม 3 วัน (19-21 พฤศจิกายน 2568 ) สูงถึงระดับ 630 มม. ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ฝนตกแบบสุดขั้ว (Extreme Rainfall) ที่รุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยปกติหลายเท่าตัว
ด้านนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้ออกมาอธิบายถึงสาเหตุน้ำท่วมครั้งนี้ ระบุว่าสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนเดือดร้อนถึง 560,000 ครัวเรือน โดยจังหวัดสงขลาถูกน้ำท่วมครบทั้ง 16 อำเภอ โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ ที่ประสบภาวะน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่ปี 2543 และประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้วกว่า 500 ล้านบาท
โดยมองว่าสาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมในปีนี้หนักหนาสาหัสกว่าทุกปี มาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
สาเหตุที่ 1: สภาพภูมิประเทศ "พื้นที่ต่ำรับน้ำจากทุกทิศ"
สภาพพื้นที่เมืองหาดใหญ่ค่อนข้างต่ำ เป็นพื้นที่ลุ่มที่ลาดลงสู่ทะเลสาบสงขลา ทำให้น้ำไหลลงมารวมกันได้ง่ายและระบายออกสู่ทะเลสาบได้ยาก หากเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงยิ่งจะทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้ยากขึ้น
ในพื้นที่จะมีคลองอู่ตะเภา เป็นคลองสายหลักยาว 116 กิโลเมตร ไหลมาจาก อ.สะเดา ผ่าน อ.หาดใหญ่ ก่อนจะไหลไปลงทะเลสาบสงขลา นอกจากนี้ยังมีคลอง ร.1 หรือคลองภูมินาถดำริ ซึ่งเป็นโครงการบรรเทาอุทกภัยเพื่อผันน้ำให้ระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยเร็ว
น้ำจากทุกทิศทาง ทั้งจากเขาคอหงส์, อ.นาหม่อม, และ อ.จะนะ รวมถึงน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขานครศรีธรรมราช ล้วนไหลลงสู่คลองอู่ตะเภา ซึ่งไหลผ่าน อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบต่ำก่อนลงสู่ทะเลสาบสงขลา
สาเหตุที่ 2: สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์
มวลความกดอากาศสูงหรืออากาศเย็นจากประเทศจีนได้แผ่ลงมากดร่องมรสุมความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านภาคกลางให้ลงมายังภาคใต้ใกล้ประเทศมาเลเซีย ประกอบกับเป็นช่วงสภาวะลานิญญาที่เพิ่มความชื้นในอากาศมากกว่าปกติ
ปัจจัยดังกล่าวทำให้เกิดฝนตกหนักมากใน 10 จังหวัดภาคใต้ (((โดยรวมผลสะสม 3 วัน (19-22 พฤศจิกายน 2568) วัดได้ถึง 595 มิลลิเมตร )) สูงกว่าปี 2543 และ 2553 ((ที่เคยทำสถิติสูงสุดไว้ที่ 515 มิลลิเมตร))
โดยเฉพาะที่เขาคอหงส์ อ.นาหม่อม มีฝนตกหนักในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 มากถึง 365 มิลลิเมตร ซึ่งส่งผลให้น้ำทุกสายไหลลงมาสู่คลองอู่ตะเภา และล้นท่วมเมืองหาดใหญ่ในที่สุด
สาเหตุที่ 3: การบริหารจัดการรับมือในภาวะวิกฤตยังต่ำกว่ามาตรฐาน
ดร. สนธิ ชี้ให้เราเห็นว่า การบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยในปีนี้น่าจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติมาก เพราะเกิดน้ำท่วมหนักทั่วประเทศครบทุกภาค ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และลงมาภาคใต้ ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าปีนี้เป็นภาวะลานิญญาและเป็นช่วงที่อากาศแปรปรวนหนัก
แม้ว่าการแจ้งเตือนภัยพิบัติจะทำได้ล่วงหน้า 1-2 วันผ่านระบบ Cell Broadcast ซึ่งประชาชนในพื้นที่ได้รับข่าวสารพอสมควร แต่การเตรียมการรับมือและการแก้ไขในภาวะวิกฤตยังถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานมาก
ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์พบประชาชนติดอยู่บนหลังคา ไม่ได้การช่วยเหลือ เช่น การแจกจ่ายอาหารและน้ำ ซึ่งมองว่าการช่วยเหลือยังทำได้ล่าช้า เป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน
น้ำท่วมหาดใหญ่ เป็นปัจจัยลบที่มาฉุดการท่องเที่ยวไทยในไฮซีซัน นักท่องเที่ยวมาเลเซียหายไป และหมายถึงรายได้ที่จะหมุนสะพัดในพื้นที่ก็จะวูบหายไปด้วยเช่นกัน
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงผลกระทบด้านท่องเที่ยวจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ มองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวโดยรวม โดยรัฐบาลมาเลเซีย และสถานกงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา ได้ประกาศเตือนพลเมืองให้ เลื่อนการเดินทางท่องเที่ยวมายังภาคใต้ของไทย ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 และสื่อกระแสหลักของมาเลเซีย มีการรายงาน โดยเฉพาะกรณีที่นักท่องเที่ยวมาเลเซียติดค้าง ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเลเซียเกิดความวิตกกังวล และอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ความเชื่อมั่น
และเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่หาดใหญ่ เรามีนักท่องเที่ยวกลุ่มหลัก คือ มาเลเซีย มีสัดส่วน 14 % ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และส่วนใหญ่กว่า 73% เดินทางเข้าไทยผ่านด่านชายแดนทางบกภาคใต้
ซึ่งทาง ททท. คาดการณ์ว่าผลกระทบแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 (กระทบระยะสั้น 1 สัปดาห์) คาดการณ์นักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้าไทยทั้งปี 2568 ประมาณ 4.60 ล้านคน ลดลง 7 % จากปี 2567
กรณี 2 (กระทบมากกว่า 1 สัปดาห์) หากสถานการณ์ยืดเยื้อ คาดการณ์นักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้าไทยทั้งปี 2568 ประมาณ 4.55 ล้านคน ลดลง 8 % จากปี 2567
อย่างไรก็ตามทั้งนี้หากเป็นในกรณีที่ 2 จะทำให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งปี 2568 คาดว่าจะต่ำกว่า 33 ล้านคน ลดลง 8 % จากปี 2567
ด้านดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา กล่าวว่าเหตุน้ำท่วม ทำให้โรงแรมในหาดใหญ่กว่า 300 แห่ง รวมจำนวนห้องพักกว่า 3 หมื่นห้อง ต้องปิดกิจการจากผลกระทบน้ำท่วม เหลือที่เปิดให้บริการได้ราว 10 แห่งเท่านั้นที่ไม่มีปัญหาเรื่องไฟฟ้า ในระยะสั้นมีการประเมินความเสียหายเบื้องต้นไว้ประมาณ ร่วม 100 ล้านบาท
ทั้งคาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะนานเกินกว่า 1 สัปดาห์ เพราะกว่าน้ำจะลด ก็ต้องมีการซ่อมแซมสถานประกอบการ และสิ่งที่กังวล คือ การเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับคืนมา เนื่องจากย่านใจกลางเมืองหาดใหญ่พึ่งพานักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเป็นหลัก เพราะได้มีการยกเลิกการเดินทางทั้งหมดแล้ว และในระยะยาว คาดการณ์ว่าการฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาเป็นปกติอาจใช้เวลาเป็นเดือน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
