รีเซต

ไทยยูเนี่ยนทำผลงานได้ดีเยี่ยม ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์

ไทยยูเนี่ยนทำผลงานได้ดีเยี่ยม ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์
TNN Wealth
23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 15:49 )
133
ไทยยูเนี่ยนทำผลงานได้ดีเยี่ยม ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 64 ที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนทำผลงานได้ดีเยี่ยม ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 141,048 ล้านบาท กำไรสุทธิเติบโต 28.3 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ระดับ 8,013 ล้านบาท ส่วนกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 9.9 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 25,727 ล้านบาท
 
 
ส่วนยอดขายในไตรมาส 4 ปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 38,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากธุรกิจอาหารทะเลแช่งแข็งและแช่เย็นที่ฟื้นตัวในสหรัฐอเมริกา ภายหลังมาตรการป้องกันโควิด-19 มีการผ่อนคลายและร้านอาหารและโรงแรมเริ่มทยอยเปิดให้บริการ
 
 
นอกจากนี้ยอดขายจากหน่วยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและธุรกิจเพิ่มมูลค่ายังเติบโตต่อเนื่อง ทำให้กำไรสุทธิของไทยยูเนี่ยนในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาทะยานขึ้นถึง 32.5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 1,930 ล้านบาท แม้จะประสบสภาวะการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกก็ตาม
 
 
สำหรับยอดขายธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีเติบโต 4.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าด้วยการปรับขึ้นราคาขายสินค้า ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเติบโตขึ้น 21 เปอร์เซ็นต์ จากการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม ในขณะที่ยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้าเพิ่มมูลค่าเติบโตขึ้นถึง 27.2 เปอร์เซ็นต์จากความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นมาก และฐานลูกค้าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
 
 
โดยไทยยูเนี่ยนประกาศปันผลงวดการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจำนวน 0.50 บาทต่อหุ้น รวมปันผลหุ้นตลอดปีอยู่ที่ 0.95 บาทต่อหุ้น เป็นระดับที่สูงสุดของบริษัทสะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากยอดขายที่เติบโตและความสามารถในการทำกำไร ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวของบริษัททำให้ธุรกิจหลักของเราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต่อยอดธุรกิจใหม่ ๆ ที่เพิ่มมูลค่า
 
 
นอกจากนี้บริษัทยังเน้นในเรื่องของวินัยทางการเงินที่สร้างความสามารถในการทำกำไรและความยั่งยืน อีกทั้งยังผลักดันให้เกิดธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เราสามารถเพิ่มการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและคงอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ระดับ 0.99 เท่า
 
 
ในปี 2564 บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือยังได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะรองรับการเติบโตและขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในเอเชีย ไทยยูเนี่ยนยังให้ความสำคัญกับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
 
 
โดยมีการเปลี่ยนชื่อ บริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทในเครือ ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เป็น บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในธุรกิจสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไทยยูเนี่ยนมีแผนจะนำบริษัท ไอ-เทล จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกในปีนี้
 
 
ในปี 2564 ไทยยูเนี่ยนได้เริ่มก้าวสู่ Blue Finance โดยเป็นบริษัทแรก ๆ ในประเทศไทยที่เดินหน้าการเงินที่ส่งเสริมความยั่งยืนและตั้งเป้าหมายการทำงานที่สนับสนุนการอนุรักษ์มหาสมุทร และผลสำเร็จตามเป้าหมายจะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยของเครื่องมือการเงินชนิดนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อหรือหุ้นกู้โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับสินเชื่อและออกหุ้นกู้ที่ส่งเสริมความยั่งยืนรวมทั้งสิ้น 27,000 ล้านบาท
 
 
โดยไทยยูเนี่ยนได้ตั้งเป้าหมายระยะยาว ให้ 75 เปอร์เซ็นต์ของเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทเป็น Blue Finance ภายในปี 2568 ซึ่งเพิ่มจาก 50 เปอร์เซ็นต์ ณ สิ้นปี 2564 สำหรับปี 2565 ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจโดยมุ่งเน้นในเรื่องอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้นและธุรกิจใหม่ที่เพิ่มมูลค่า เช่น ส่วนประกอบอาหาร อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและโปรตีนทางเลือก เพื่อให้สอดรับกับตลาดที่เติบโตเร็วในธุรกิจเหล่านี้

 

--------------------

เกาะติดสถานการณ์โควิด-19  ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง