รีเซต

สถานการณ์น้ำเขื่อนปี 2568 ปริมาณเพิ่มกว่า 6,000 ล้าน ลบ.ม. เสี่ยงน้ำท่วมหลายจังหวัด

สถานการณ์น้ำเขื่อนปี 2568 ปริมาณเพิ่มกว่า 6,000 ล้าน ลบ.ม. เสี่ยงน้ำท่วมหลายจังหวัด
TNN ช่อง16
3 ตุลาคม 2568 ( 17:13 )
14

สถานการณ์น้ำในเขื่อนทั่วประเทศ ปี 2568 การเปรียบเทียบกับปีที่แล้วและการประเมินความเสี่ยงน้ำท่วม


ภาพรวมสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่

ข้อมูลจากกรมชลประทานและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2568 ระบุว่า เขื่อนขนาดใหญ่ 35 แห่งทั่วประเทศมี ปริมาณน้ำรวม 66,585 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 83% ของความจุอ่างเก็บน้ำ โดยมีน้ำใช้การได้ 42,464 ล้านลูกบาศก์เมตร (73%) ซึ่งมากกว่าปี 2567 ถึง 6,356 ล้านลูกบาศก์เมตร ถือว่าเป็นปริมาณน้ำสะสมที่สูงที่สุดในรอบหลายปี

แม้ตัวเลขดังกล่าวจะสะท้อนถึงความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการเกษตรและการผลิตไฟฟ้า แต่ก็สร้างแรงกดดันต่อการบริหารจัดการน้ำ โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมที่ยังคงมีฝนตกหนักจากอิทธิพลพายุ


สถานการณ์น้ำในแต่ละภูมิภาค


ภาคเหนือ เขื่อนใหญ่ใกล้เต็มความจุ

เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก มีปริมาณน้ำ 11,649 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 87% ของความจุ สามารถรับน้ำได้อีกเพียง 13% ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีน้ำถึง 8,975 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 94% ใกล้เต็มความจุ ต้องเร่งพร่องน้ำเพื่อรองรับฝนจากพายุที่คาดว่าจะตกหนักในช่วง 5-7 ตุลาคม หากไม่บริหารจัดการอย่างรอบคอบ อาจกระทบพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น้ำอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ มีน้ำ 87% เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น มีน้ำ 86% และเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี มีน้ำ 85% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูงทั้งหมด แม้จะยังเหลือความจุอีกเล็กน้อย แต่พื้นที่ลุ่มต่ำรอบ ๆ ยังมีความเสี่ยงน้ำล้นตลิ่งหากมีฝนเพิ่ม

ภาคกลาง เจ้าพระยาระบายน้ำเพิ่ม

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีน้ำ 74% ของความจุ ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ได้เพิ่มการระบายน้ำจาก 2,400 เป็น 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นตลิ่งในภาคกลางตอนล่าง โดยเฉพาะอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง และปทุมธานี



ภาคตะวันตก ปริมาณน้ำสูงกว่า 80%

เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี เก็บน้ำ 14,816 ล้านลูกบาศก์เมตร (83%) และเขื่อนวชิราลงกรณ มีน้ำ 7,860 ล้านลูกบาศก์เมตร (89%) ทั้งสองแห่งมีน้ำเกือบเต็มความจุและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมักเป็นพื้นที่รับน้ำฝนจากเทือกเขาตะนาวศรี

ภาคใต้ สถานการณ์ปกติ

เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี มีปริมาณน้ำในระดับปกติ และไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเมียนมา

การเปรียบเทียบกับปี 2567

ปี 2567 ประเทศไทยมีน้ำไหลเข้าเขื่อนสะสมทั้งปี 47,223 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีน้ำคงเหลือสิ้นปี 56,459 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 80% ของความจุ

แต่ในปี 2568 ปริมาณน้ำสะสมมากกว่าเดิมกว่า 6,000 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเฉพาะ ภาคเหนือที่มีน้ำมากที่สุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ภาคกลางและภาคตะวันออกมีน้ำเพิ่มขึ้น ส่วนอีสานและใต้ลดลงเล็กน้อย

สถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบัน

ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2568 ประเทศไทยยังมีน้ำท่วมใน 17 จังหวัด 407 ตำบล 2,234 หมู่บ้าน ประชาชนกว่า 278,000 คน ได้รับผลกระทบหนัก โดยจังหวัดที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และภาคกลางอย่าง อยุธยา สิงห์บุรี และปทุมธานี

กรุงเทพมหานครยังเสี่ยงน้ำทะเลหนุนสูงในช่วง 3-6 ตุลาคม ระดับน้ำคาดแตะ 1.7-1.9 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง สูงกว่าระดับวิกฤติ 20 เซนติเมตร โดยพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ เช่น เขตคลองเตยและบางพลัด เป็นจุดเสี่ยงสำคัญ

แนวโน้มสถานการณ์น้ำช่วงวันที่ 9-10 ตุลาคม 2568 คาดว่าการระบายน้ำจากเขื่อนตอนบนจะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นจนใกล้เคียงกับเหตุการณ์ปี 2554 แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ เนื่องจากมีการควบคุมการระบายไม่เกิน 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะเดียวกันกรมชลประทานได้เตรียมกระสอบทรายกว่า 200,000 ใบ เพื่อเสริมแนวป้องกันน้ำล้นตลิ่งในเขตเมืองและพื้นที่เสี่ยง

พยากรณ์อากาศยังระบุว่า พายุแมตโม จะไม่เข้าสู่ไทยโดยตรง แต่จะทำให้มีฝนตกหนักในภาคเหนือและอีสานตอนบน ปริมาณ 60-100 มิลลิเมตร

ธนาคารกรุงศรีคาดการณ์ว่า ปี 2568 อุทกภัยจะสร้างความเสียหายราว 1.99 หมื่นล้านบาทต่อภาคเกษตร และรวมความเสียหายทรัพย์สินกว่า 3.7 พันล้านบาท โดยพื้นที่น้ำท่วมทั้งหมดอาจสูงถึง 9.5 ล้านไร่

มาตรการรับมือที่เสนอ

  • บริหารจัดการน้ำในเขื่อน
  • เขื่อนสิริกิติ์เพิ่มการระบายน้ำเป็น 25 ล้าน ลบ.ม./วัน
  • เขื่อนภูมิพลลดการระบายน้ำเหลือ 5 ล้าน ลบ.ม./วัน
  • เขื่อนเจ้าพระยาควบคุมไม่เกิน 2,700 ลบ.ม./วินาที

การเตรียมชุมชน

  • เฝ้าติดตามข่าวสารจากกรมชลประทานและจังหวัด
  • เคลื่อนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูงในพื้นที่เสี่ยง
  • เตรียมกระเป๋าฉุกเฉินและแผนอพยพ

ปี 2568 เป็นปีที่ประเทศไทยมีน้ำในเขื่อนสูงกว่าปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน แม้จะช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมในหลายพื้นที่ การบริหารจัดการน้ำจึงเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล โดยเฉพาะการประสานงานระหว่างเขื่อนหลัก ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และการป้องกันน้ำทะเลหนุนในกรุงเทพฯ หากสามารถควบคุมระดับน้ำและสร้างความพร้อมในชุมชนได้ ก็จะช่วยลดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง