เช็กอุณหภูมิหุ้นไทย! หลบภัยตัวไหนดี "ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า"

ตลาดหุ้นไทยเผชิญความเสี่ยงอีกครั้ง หลังสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย -กัมพูชาตึงเครียดและยกระดับความรุนแรงขึ้นส่งผลให้ดัชนีวันที่ 24 ก.ค.ร่วง 7.13 จุด หรือ 0.58% ปิดตลาดที่ระดับ 1,212.49 จุด ด้วยมูลการซื้อขาย 46,887.92 ล้านบาท โดยการปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยยังค่อนข้างจำกัด แม้ว่าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายนักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
โดยบล.เอเซีย พลัส ประเมินข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนรายอุตสาหกรรมดังนี้
กลุ่มเครื่องดื่ม : คาด CBG ได้รับผลกระทบด้านลบ เนื่องจากมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากต่างประเทศหลัก มา จากประเทศกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนราว 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง และ 21% ของยอดขายทั้งหมด นอกจากนี้ CBG ยังมีแผนเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในกัมพูชาในรูปแบบ JV ซึ่งตามแผนจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 2569 ส่วน OSP คาดได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากยอดขายในกัมพูชา คิดเป็นเพียง 1-2% ของยอดขายรวม
กลุ่มรพ. : คาดไม่กระทบ เนื่องจากคนไข้กัมพูชาที่เข้าใช้บริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ทำงานในไทย (EXPAT) ส่วน คนไข้กัมพูชาที่บินเข้ามารักษารพ.ที่ไทย เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และการรักษาพยาบาลยังเป็นสิ่งที่จำเป็นแต่ฐาน คนไข้กลุ่มนี้ชะลอลงติดกันแล้วหลายไตรมาสก่อนหน้าทำให้เทียบสัดส่วนต่อรายได้ปัจจุบันไม่ได้มีนัย ซึ่งคาดจะได้รับ ชดเชยจากการเข้ามาของคนไข้ชาติอื่นๆแทน
ส่วนรพ.ที่อยู่ตามขอบชายแดนไทย-กัมพูชา อาจทำให้ลูกค้าชะลอเข้าใช้ บริการบ้างเล็กน้อย สร้าง SENTIMENT เชิงลบต่อ BCH เนื่องจากมีรพ. 1 แห่งที่ อรัญประเทศฯ สำหรับ BDMS แม้มีรพ. 2 แห่งที่อยู่ในประเทศกัมพูชา แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยหรือทำงานในกัมพูชา จึงคาด ไม่ได้กระทบอย่างมีนัย ทั้งนี้ 2 รพ.ดังกล่าวคิดเป็นรพ.เพียง 1% ของรายได้ธุรกิจรพ.ของ BDMS
กลุ่มโรงไฟฟ้า : ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา ไม่ได้มีการเข้าลงทุนในประเทศกัมพูชา มีเพียง BGRIM ที่มี โรงไฟฟ้า SOLAR 39MWE คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่ COD ในปัจจุบัน จึงคาดจะไม่มีนัย ฯ ต่อกำไรของ BGRIM
กลุ่มพลังงาน : OR มีธุรกิจในประเทศเวียดนามผ่านสถานีบริการน้ำมันในกัมพูชา 186 สถานี (จากทั้งหมด 2761 สถานีในไทย + ต่างประเทศ) , ร้าน CAFE AMAZON 254 ร้านค้า (จากทั้งหมด 4898 ร้านค้า), และร้านสะดวกซื้อ 71 ร้านค้า (จากทั้งหมด 2421 ร้านค้า) โดยในปี 2567 มีส่วนแบ่ง EBITDA มาจากประเทศเวียดนามราว 1.2 พันล้าน บาท หรือราว 7.0% ของ EBITDA รวมของ OR ปัจจุบัน OR ยืนยันการดำเนินงานเป็นไปตามปกติ และยังไม่ได้รับ ผลกระทบ จึงยังอยู่ในช่วงของการติดตามสถานการณ์ต่อไป
กลุ่ม ICT : คาดไม่กระทบ เพราะการให้บริการหลักอยู่ในไทย กลุ่มค้าปลีก : คาดผลกระทบน้อย แม้มี CPALL, CPAXT และ BJC ที่มีการไปเปิดสาขาในกัมพูชา แต่ถือเป็นสัดส่วน น้อยมากเมื่อเทียบกับสาขาทั้งหมด โดย ณ สิ้นปี 2567 CPALL มีสาขา 7-ELEVEN ทั้งหมด 15,367 สาขา ส่วนใหญ่ 99.2% เป็นสาขาในไทย ที่เหลือเป็นสาขาในกัมพูชา 112 สาขา และลาว 10 สาขา ส่วน CPAXT ส่วนธุรกิจค้าส่งมี สาขาทั้งหมด 175 แห่ง เป็นสาขาใน 165 แห่ง ในกัมพูชาเพียง 3 แห่ง BJC มีสาขา BIGC ทั้งหมด 2,030 สาขา ส่วน ใหญ่ 98.7% เป็นสาขาในไทย (2,003 แห่ง) โดยเป็นสาขาในกัมพูชา 25 แห่ง
กลุ่มมีเดีย : ผลจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้กัมพูชาออกประกาศระงับการนำเข้าและฉายภาพยนตร์ ไทยในโรงภาพยนตร์ทุกแห่งในกัมพูชา มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 12 มิ.ย 68 เป็นต้นไป ฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบที่จะ มีต่อ MAJOR ไม่มาก โดย MAJOR มีโรงภาพยนตร์ในกัมพูชา 33 โรง คิดเป็น 3.8% ของโรงภาพยนตร์ทั้งหมดที่ MAJOR มี 863 โรง ในเชิงรายได้จากธุรกิจในกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วน 3% ของรายได้รวม MAJOR เท่านั้น
โดยปกติ โรงภาพยนตร์ในกัมพูชาจะมีสัดส่วนการฉายภาพยนตร์กัมพูชา : อินโดนีเซีย : ไทย : ฮอลิวูด อยู่ที่ 30 : 20 : 20 :20 และเดือน มิ.ย-ก.ค MAJOR ก็ไม่มีการจัดผังภาพยนตร์ไทยในโปรแกรมฉายที่กัมพูชาอยู่แล้ว
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง: บริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่จะมีการขายสินค้าวัสดุก่อสร้างเช่น ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง ไปใน ประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งกัมพูชาถือเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญที่มีการค้าชายแดนกับไทย โดย SCCC มีบริษัทร่วมทุน ในประเทศกัมพูชาคือ CHIPMONG INSEE CEMENT CORPORATION สัดส่วน 40% โดยมีส่วนแบ่งกำไรประมาณ ปีละ 200-250 ล้านบาท คิดเป็น 5-8% ของกำไรทั้งหมดของ SCCC
ขณะที่ SCC มีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 5- 7% ของรายได้ทั้งหมด กลุ่มก่อสร้าง : แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในภาคก่อสร้างมีอยู่ประมาณ 1.6 แสนคน ถือเป็นกลุ่มแรงงานที่มีจำนวนมาก ที่สุดในบรรดาทุกอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นแรงงานฝีมือระดับกลางและแรงงานทั่วไป บริษัทรับเหมาก่อสร้างราย ใหญ่ของไทยอย่าง CK และ STECON ส่วนใหญ่จะมีการว่าจ้างแรงงานผ่านบริษัทรับเหมาช่วง (SUB CONTRACTOR) ซึ่งน่าจะมีกลุ่มแรงงานกัมพูชาอยู่ในนั้นด้วย หากขาดแรงงานกลุ่มนี้ก็จะกระทบต่อโครงการ ก่อสร้างทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ : คาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากกลุ่มผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อขาย และเพื่อเช่า รวมถึง ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม ไม่มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา และไม่มีการพัฒนาโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทยกัมพูชา
กลุ่มเกษตรอาหาร : แม้ CPF มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา แต่เป็นฐานการผลิตเพื่อขายในประเทศกัมพูชาเป็นหลัก และคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 3-4% ของรายได้รวม จึงไม่กระทบอย่างมีนัยฯ ขณะที่บริษัทอื่น เช่น TU, ITC และ GFPT ไม่มีการลงทุนในกัมพูชา จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด นอกจากนี้เป้าหมายนักท่องเที่ยว 35.5 ล้านคนในปี 2025 ดูจะเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆโดยรวมยอด 1H68 พบว่า ไทย มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 16.7 ล้านคน คิดเป็นแค่ 47% ของเป้าหมายทั้งปีซึ่งยังต่ำกว่าเกณฑ์ 50% ขณะที่ "คณะ รวมพลังแผ่นดิน" นัดชุมนุมอีกครั้ง เพื่อปกป้องอธิปไตยในวันที่ 2 ส.ค.นี้ ด้านท่าทีของต่างชาติทั้งสหรัฐฯ, ฟิลิปปินส์,อิสราเอล,อังกฤษเตือนพลเมืองเลี่ยงพื้นที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย
ส่วนทิศทางหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางการปะทะเดือดระหว่างไทย-กัมพูชา การจัดเก็บภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยมากน้อยแค่ไหน และหุ้นตัวไหนที่ยังน่าลงทุนรับมือความผันผวนที่เกิดขึ้นวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก“ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ฉายภาพว่า สถานการณ์ไทยและกัมพูชาจะไม่ยืดเยื้อและใกล้เข้าสู่ได้ข้อยุติ หลังจากกัมพูชาโจมตีไทยและไทยตอบโต้โดยใช้เครื่องบิน F16 ทิ้งระเบิดที่กัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาหุ้นไทยลงเพียง 7 จุด จากนั้นวันที่ 25 ก.ค. ดีดปรับตัวขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยรับรู้ข่าวข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชามาตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมาไปแล้ว
ถ้าเทียบกับช่วงเหตุการณ์คลิปเสียงหลุด18 มิ.ย.68 ดัชนีร่วงลงไปกว่า 19 จุด หลังจากนั้นร่วงต่ออีก 3 วัน รวม 4 วันดัชนีลงไปกว่า 60 จุด จาก 1,113 จุด ลงมาต่ำสุดที่ 1,053 จุด
ดังนั้นการย่อตัวของดัชนีเป็นโอกาสสะสมหุ้นไทย เพื่อหวังผลในระยะกลาง ตามกลยุทธ์ GG (GOOD GAME) SET จะดีดแรงหลังเกิดเหตุการณ์หนักๆ ระดับ MASS SCALE เช่น เหตุการณ์สหรัฐฯ ใช้เครื่องบิน B2 ทิ้งระเบิดที่อิหร่าน ( ณ 23 มิ.ย. 68) หลังจากนั้น 1 วัน SET +3.5% จาก 1,062 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,100จุด ( ณ 24 มิ.ย.68) พร้อมกับเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นแรงในช่วงกลางปีนี้โดยมี หุ้นที่ขึ้นแรง คือ AAV 13%, BGRIM 12%, SAWAD 11%, ERW 9%
ขณะที่เหตุการณ์ม็อบอนุเสาวรีย์ (28 มิ.ย. 68) ไม่นำไปสู่การเกิดรัฐประหาร หลังจากนั้น SET +4.1% ใน 4 วัน จาก 1,082 จุด มาอยู่ที่ 1,127 จุด (ณ 30 มิ.ย. – 3 ก.ค. 68) โดยมีหุ้นที่ขึ้นแรง คือ KCE 21%, M 20%, ITC 15% เป็นต้น
สำหรับปัจจัยติดตามสัปดาห์หน้าคือ สถานการณ์สู้รบระหว่างไทย- กัมพูชา การเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์ก่อนจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ รวมถึงคดีของนายกรัฐมนตรีว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องถอดถอนนายกฯ ปมคลิปเสียงหลุด
ส่วนการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและไทยนั้น คาดหวังว่าสหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้าไทยใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนาม อินโดนีเซียและญี่ปุ่น ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่า
- ถ้าสหรัฐเก็บภาษีไทย 36% จะทำให้ GDP โตต่ำกว่า 1.8% กดดันดัชนีอาจจะลดลงไปอยู่แตะที่ 1,150 จุด และอาจส่งผลให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตสินค้าจากไทยไปประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า
- หากสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าไทยในอัตรา 21%- 36%จะทำให้ GDP โตต่ำกว่า 2% และกดดัดดัชนีหุ้นไทยแตะที่ระดับ 1,170 จุด
- ถ้าจัดเก็บภาษีในอัตรา 20% ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านจะทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายส่งผลให้ GDP ทรงตัวเติบโต 2.3% ดัชนียืนอยู่ระดับ 1,190 จุด และมีโอกาสขยับขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,230 จุด
- ถ้าเก็บภาษีต่ำกว่า 19% ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยก็อาจจะทำ GDP โตสูงกว่า 2.3% ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,240 จุด
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำผู้ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ
- หุ้น MTC คาดหวังได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย ราคาเป้าหมาย 54 บาท
- หุ้น IVL คาดไตรมาส 2 กำไรปรับตัวดีขึ้น ราคาเป้าหมาย 30 บาท
- หุ้น BDMS คาดกำไรไตรมาส 2 ดีขึ้น ราคาเป้าหมาย 30 บาท
ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมินว่า สถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาสร้างจิตวิทยาลบ SET สัปดาห์ที่แล้ว และน้ำหนักทางลบค่อย ๆ ลดลงคาด Downside ที่จะกระทบต่อการเติบโตของจีดีพี และกำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้จำกัด เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศประมาณ 1.34% ของการส่งออก และ 0.30% ของการนำเข้ารวม ปี 2567 การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีมูลค่าการค้ารวม 174,530 ล้านบาท
ขณะที่การลงทุนโดยตรงของไทยในกัมพูชาคิดเป็น 0.94% ของการลงทุนรวมของไทยในต่างประเทศ ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในประเทศไทยมีจำนวนราว 4.06 ล้านคน ซึ่งกัมพูชามีเพียง 519,727 คน และข้อมูลจาก Ministry of Labour and Vocational Training ของ Cambodia ระบุว่า แรงงานกัมพูชาในไทยมีจำนวน 1.2 ล้านคน
ทั้งนี้คาดว่ามีบริษัทจดทะเบียนกระทบบ้าง แต่ไม่มาก เพราะหุ้นไทยส่วนน้อยที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชา โดยหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้ หลักๆ คือ SAV 100% ของรายได้รวม รองลงมาคือ CBG 13%, ส่วนหุ้นอื่น ๆ สัดส่วนรายได้ไม่มาก เช่น OSP 5%, OR 4%, MAJOR 3%, BDMS 3.7%, BH 3%, BCH 1.7%, CHG , PTT 1% , TOP, PTTGC , IRPC < 1% IRPC, CPF, TFG < 1%
ด้านสถานการณ์เจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ นั้น มองว่าไทยมีโอกาสไทยจะถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าใกล้เคียงเพื่อนบ้าน แต่คาดอาจจะต้องเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ เพิ่มด้วยการเก็บภาษี 0% หรือ สหรัฐฯ เข้ามาให้ความเห็นชอบ และร่วมพัฒนาอาวุธร่วมกัน และความร่วมมือกองทัพที่ฐานทัพละมุ จ.พังงา ที่เคยเป็นกระแสช่วงก่อนหน้านี้ หากเกิดขึ้นจริงคาดว่า SET จะตอบรับทางบวก Bullish +5% ดัชนีเคลื่อนไหว 1,260-1,300 จุด
เน้นลงทุนหุ้นนิคมฯ WHA, AMATA Export Tech เน้น DELTA, KCE, HANA ส่งออก TU, ITC, AAI, STA กลุ่มนำเข้า (กรณีไทยตกลงงดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เช่นกัน) COM7, ADVICE, SYNEX, BE8, BBIK, GULF, GPSC, PTTGC, CPF (กรณีไม่นำเข้าสุกร - ไก่)
แต่หากไทยไม่ได้ดีลภาษี Reciprocal Tariff 1 สค คง 36% (แย่กว่าอินโดนีเซียและเวียดนาม) ETR หรือ Effective tariff rate (คำนวณใช้ภาษีนำเข้าถ่วงน้ำหนักตามสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าแต่ละประเทศนั้น เพื่อสะท้อนความถูก - แพงในมุมมองผู้บริโภคสหรัฐฯ) ของไทยจะอยู่ 25% ดีกว่าอินโดนีเซียเล็กๆที่ 26% แต่เสียเปรียบเวียดนาม 18.4% ประเมินเป็นลบเทียบกับความคาดหวังตลาดในปัจจุบัน SET มีโอกาสปรับฐานลงไปแกว่งบริเวณ 1,120-1,150 จุด
กลยุทธ์ เน้นหุ้นดอกเบี้ยลดแบบเร่งลดผลกระทบเศรษฐกิจ KTC, MTC หุ้น High Yield เช่น ADVANC, AP หุ้น Defensive เช่น GULF, BCPG
ส่วนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาดว่าแกว่งไซด์เวย์และไซด์เวย์อัพ ประเมินแนวต้านแรกที่ 1,231 จด แนวต้านแรกถัดไปที่ 1,240 จุด แนวรับแรกที่ 1,200 จุด แนวรับถัดไป 1,185จุด ซึ่งมีโอกาสผ่าน 1,231จุด แรงหนุนจาก 1. การแต่งตั้งผู้ว่า BOT หนุนความคาดหวังการลดดอกเบี้ย และ 2. มาตรการกระตุ้นเศรฐกิจของจีน คาดกลุ่มนำดัชนี คือ กลุ่มอิงดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง), หุ้น Domestic อิงภาคบริการ และหุ้น Reopening Trade เน้น Deep Value (China Plays, นิคม)
ปัจจัยบวกลบที่ต้องติดตาม
- 29 ก.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ก.ค. คาดอยู่ที่ 96.0 จุด จากเดิม 93.0 จุด
- 30 ก.ค. รายงานจีดีพีไตรมาส 2 คาดเพิ่มขึ้น 2.5% q-q จากเดิม -0.5% q-q
-31 ก.ค. ติดตามการประชุม Fed คาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายกรอบ 4.25% - 4.5%
- 1 ส.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตร ก.ค. คาด 1.15 แสนราย จากเดิม 1.47 แสนราย, อัตราการว่างงาน ก.ค. คาด 4.1% เท่าเดือนก่อน
- การประชุม Politburo ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ตามที่ตลาดเก็งล่วงหน้า อาทิ ในส่วนภาคอสังหาฯ หรือไม่
- การเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้าก่อนวันบังคับใช้ภาษีการค้า 1 ส.ค.
- พัฒนาการการค้าเจรจาระหว่างสหรัฐฯ - ไทย ช่วงโค้งสุดท้าย ทั้งนี้ อิงความเห็น รมว. คลังล่าสุดดูเหมือนมีสัญญาณออกไปในทางบวก
- ประกาศหุ้น Real sector 25 ก.ค. PTTEP และ DELTA 29 ก.ค. : SCGP, HMPRO, GLOBAL 30 ก.ค. : SCC 31 ก.ค. : BH, ITC 1 ส.ค. : MINT
กลยุทธ์การลงทุน
- PTT (TP25F-32.5) เป้าของ Fund Flows + ซื้อขาย PER25F < 10 เท่า PBV25F ราว 0.74 เท่า
- PTTGC (TP25F-28.0) เก็ง politburo หุ้น PBV 0.4 เท่า สะท้อนความกังวลด้อยค่าฯ และผลกระทบสงครามการค้าไปมากแล้ว คงมุมมองบริษัทเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่รอดถึงช่วงวงจรฟื้นตัว คาดช่วง 2H25F อาจมีกำไรพิเศษจากการขายทรัพย์หนุน
- SCB (TP25F-145.0) เป็นหนึ่งในกลุ่มของ Fund Flows ที่กำลังเข้าไทยรอบนี้ + ปันผลสูง 9%ต่อปี
ปิดท้าย น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด มองแนวโน้มหุ้นไทยสัปดาห์หน้าผันผวน แรงกดดันจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์ว่าจะเก็บจากไทยในอัตราเท่าไหร่ จากเดิม 36% และใกล้ถึงเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. นี้ โดยถ้าใกล้เคียงเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม 20% อินโดนีเซีย 19% และญี่ปุ่น 15% จะหนุนตลาดหุ้นไทยดีดปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,240จุด แต่หากถ้าต่ำกว่าเพื่อนบ้านมีโอกาสทะลุ 1,300 จุด แต่ถ้าตรงกันข้ามไม่ลดเลยเก็บอัตรา 36% จะมีผลเชิงต่อตลาด และต้องจับตาดูว่าดัชนีจะหลุด 1,200 จุดหรือไม่
ส่วนสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา กระทบบริษัทจดทะเบียนโดยรวมน้อย เนื่องจากจุดที่เกิดการปะทะอยู่ชายแดนมีผลต่อบริษัทที่มีสาขากัมพูชา เช่น บมจ. โอสถสภา (OSP) บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ยกเว้น บมจ. คาราบาวกรุ๊ป (CBG) อาจจะกระทบมากหน่อย เนื่องจากรายได้จากธุรกิจในกัมพูชามีสัดส่วน 37% ของรายได้รวม หรือคิดเป็นยอดขาย 3,000 ล้านบาทต่อปี จากยอดขายทั้งปีของกลุ่มบริษัทประมาณ 20,000-22,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ไทย-กัมพูชายืดเยื้อคาดจะส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนของไทยต่ำกว่ากรณีภาษีทรัมป์ที่จะเริ่มมีผลในวันที่ 1 ส.ค.นี้ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวสัปดาห์หน้าที่ 1,200-1,240 จุด
กลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นแบงก์ consensus คาดการณ์ SCB ปันผล 8-9 % TISCO ปันผล 7-8% และ BBL เป็นแบงก์ใหญ่สัดส่วนลูกค้า corporate สูง และมีการขยายลงทุนในธนาคารเพอร์มาตาแบงกก์อินโดนีเซีย
ช่วงสถานการณ์ไทย-กัมพูชายังไม่คลี่คลาย และการขึ้นภาษีทรัมป์ไม่รู้ว่าจะออกมารูปแบบไหนนักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน กระจายความเสี่ยง ปรับพอร์ตการลงทุนให้ทันเหตุการณ์ เพื่อเอาตัวรอดจากภาวะความผันผวนภายใต้สงครามการค้า และความขัดแย้งระหว่างประเทศไปให้ได้....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
