รีเซต

“คนละครึ่ง พลัส” และโจทย์ใหญ่เศรษฐกิจ 4 เดือนของเอกนิติ

“คนละครึ่ง พลัส” และโจทย์ใหญ่เศรษฐกิจ 4 เดือนของเอกนิติ
TNN ช่อง16
25 กันยายน 2568 ( 16:36 )
11

การเข้ารับตำแหน่งครั้งแรกของ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเกิดขึ้นในบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา เพราะรัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือนก่อนการยุบสภาตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศไว้ ทำให้โจทย์ทางเศรษฐกิจครั้งนี้ถูกวางไว้อย่างชัดเจนว่าเป็น “Quick Big Win” ที่ต้องทำให้เห็นผลจริงและต่อยอดได้ในระยะยาว

หนึ่งในโครงการสำคัญคือ “คนละครึ่ง พลัส” ที่เอกนิติมองว่าเป็นมาตรการเร่งด่วนซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในช่วงต้นเดือนตุลาคม หากเดินหน้าได้ตามแผน ร้านค้าและประชาชนจะสามารถลงทะเบียนได้ทันที จุดที่น่าจับตาคือการจัดสิทธิที่แตกต่างระหว่างผู้ที่อยู่ในระบบภาษีกับผู้ที่อยู่นอกระบบ ผู้เสียภาษีจะได้รับสิทธิสมทบมากกว่า (รัฐบาลอาจเพิ่มในส่วนนี้อีก 10%) ถือเป็นความพยายามใหม่ในการดึงประชาชนเข้าสู่ระบบภาษี

วินัยการคลังท่ามกลางแรงกดดัน

เอกนิติระบุชัดว่า “ทุกนโยบายต้องมีวินัยการคลังอย่างเข้มข้น” โดยรัฐบาลจะใช้งบประมาณปี 2569 โดยไม่ขยายเพดานขาดดุลการคลังเพิ่ม เขาอธิบายว่า “การกระทำสำคัญกว่าคำพูด” และทุกโครงการต้องเปิดเผยข้อมูลต้นทุนและประโยชน์อย่างละเอียด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งต่อประชาชนและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ

ประเด็นนี้ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะเพิ่งมีการปรับมุมมองประเทศไทยจาก Stable เป็น Negative โดย ฟิทช์ เรทติ้งส์ ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อฐานะการคลังไทย รัฐบาลจึงต้องพิสูจน์ว่ามาตรการใหม่ทุกอย่างไม่ได้เร่งใช้เงินอย่างไร้ทิศทาง แต่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่มั่นคงและยั่งยืน

การวางรากฐานระยะกลางและระยะยาว

เอกนิติประกาศว่า ภายในเดือนพฤศจิกายนจะปรับกรอบ Medium Term Fiscal Framework ครั้งใหญ่ เพื่อแสดงทิศทางปฏิรูปการคลังของไทย เขาย้ำว่าการควบคุมการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ที่ 3% ต้องไม่เป็นเพียงเป้าหมายบนกระดาษ แต่ต้องทำให้เกิดขึ้นจริง โดยเชื่อมโยงนโยบายระยะสั้นกับการสร้างรายได้ระยะยาว

สิ่งนี้หมายถึงการมองเศรษฐกิจไทยสองมิติในเวลาเดียวกัน ทั้งการคลี่คลายปัญหาเฉพาะหน้าและการรักษาความน่าเชื่อถือในสายตาต่างชาติ การออกแบบโครงการใหม่ เช่น “คนละครึ่ง พลัส” จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือเร่งกระตุ้น แต่ต้องไม่บั่นทอนความมั่นคงทางการคลัง

ผู้ประกอบการรายย่อยและการลงทุน

อีกหนึ่งภารกิจคือการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อย เอกนิติวางแนวทางการอัพสกิลและรีสกิลพ่อค้าแม่ค้า ผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาจัดการบัญชีให้เป็นระบบ สิ่งนี้จะช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และทำให้การบริหารธุรกิจรายย่อยมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน ยังได้รับมอบหมายให้ดูแล สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยตั้งเป้าปลดล็อกข้อจำกัดและใช้แนวทางที่คล้ายกับ “PPP Fast Track” เพื่อทำให้คำขอส่งเสริมการลงทุนกลายเป็นการลงทุนจริง รวมถึงพิจารณาอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง