รีเซต

อาชีพแรงงานไทย และอัตราค่าจ้าง ในอิสราเอล

อาชีพแรงงานไทย และอัตราค่าจ้าง ในอิสราเอล
TrueID
20 พฤษภาคม 2564 ( 11:06 )
4.5K
อาชีพแรงงานไทย และอัตราค่าจ้าง ในอิสราเอล

ความต้องการแรงงานต่างชาติในอิสราเอลมีจำนวนมาก โดยเฉพาะในสาขาอาชีพที่ใช้แรงงานไร้ฝีมือ งานสกปรก อันตราย และงานหนัก ซึ่งชาวอิสราเอลไม่ต้องการทำ แต่ทางการอิสราเอลอนุญาตนำเข้าแรงงานต่างชาติใน 4 ประเภทกิจการเท่านั้น คือ ภาคงานเกษตร , ภาคการก่อสร้าง , ภาคงานบริการ  (ดูแลคนชราและผู้พิการ) และภาคอุตสาหกรรมบริการ และร้านอาหาร ทั้งนี้ในปัจจุบันอิสราเอลมีแรงงานไทยอยู่ประมาณ 25,000 คน

 

 

นอกจากนี้ รัฐบาลอิสราเอลมีการควบคุมและกำหนดโควต้าการนำเข้าแรงงานต่างชาติทุกปีโดยในปีพ.ศ. 2549  ได้กำหนดโควตาอนุญาตให้จ้างแรงงานต่างชาติ  ดังนี้

 

          1. ภาคก่อสร้าง จำนวน 15,000 คน  โดยได้เปลี่ยนแปลงระบบการจ้างงาน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นมา  โดยให้บริษัทจัดหางานอิสราเอลที่รัฐบาลคัดเลือกจำนวน 42 บริษัทเป็นนายจ้างแทนที่ให้ผู้รับเหมาก่อสร้างเป็นนายจ้างเช่นเดิม  บริษัทจัดหางานเหล่านี้จะได้โควตาวีซ่าจากรัฐบาลโดยตรง เป็นผู้รับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้าง ทำประกัน รวมทั้งจัดสวัสดิการต่าง ๆ ให้ลูกจ้างของตนด้วย   ซึ่งโควต้าจำนวน 15,000 คนนี้  รวมถึงแรงงานต่างชาติที่ทำงานก่อสร้างในประเทศอิสราเอลอยู่แล้ว โดยรัฐบาลอิสราเอลจะพิจารณาให้นำเข้าต่อเมื่อมีแรงงานคนเก่าเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว   เป็นการนำเข้าเพื่อทดแทนแรงงานเก่าเท่านั้น (เฉพาะผู้เชี่ยวชาญที่มีเงินเดือนตั้งแต่  14,000 เชคเกล (145,000 บาท)  เท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ทำงานต่อไป) 

 

          2. งานอุตสาหกรรมบริการและร้านอาหาร  ได้แยกโควต้าเป็นงานอุตสาหกรรมบริการ จำนวน 1,500 คน   และงานในร้านอาหารที่ต้องการผู้ชำนาญงานและมีฝีมือ ซึ่งคนอิสราเอลทำไม่ได้ เช่นประกอบอาหารไทย ญี่ปุ่น จีน  จำนวน 1,150 คน (กิจการโรงแรมในเมือง Eilat ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญทางภาคใต้ของประเทศ ไม่อนุญาตให้จ้างแรงงานต่างชาติเลยโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550)

 

          3. งานเกษตร จำนวน 26,000  คน โควต้างานเกษตร 26,000 คนนี้  รวมถึงคนงานเกษตรที่กำลังทำงานในประเทศอิสราเอลด้วยซึ่งโดยปกติในเดือนมกราคมของทุกปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกระทรวงมหาดไทยอิสราเอล กระทรวงเกษตร และกระทรวงอุตสาหกรรม การค้าและแรงงานของอิสราเอล   จะมีการพิจารณาทบทวนจำนวนโควตางานเกษตร  โดยในเบื้องต้นกำหนดให้นายจ้างเก่าที่มีแรงงานต่างชาติแล้วและมีวีซ่าว่างแต่ต้องการแรงงานเพิ่ม ต้องจ้างแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายที่ถูกจับกุมก่อน และให้เวลาแก่นายจ้างที่มีลูกจ้างเป็นแรงงานต่างด้าวซึ่งตนต้องการจ้างต่อไปให้ไปต่อวีซ่าที่กระทรวงมหาดไทยภายในเดือนกุมภาพันธ์   ซึ่งเมื่อทุกคนต่อวีซ่าให้ลูกจ้างของตนแล้วจะทำให้ทราบว่ามีแรงงานส่วนที่ขาดเท่าใด จึงจะอนุญาตให้นายจ้างนั้น ๆ นำเข้าแรงงานใหม่ไปทำงานแทนคนงานเดิมซึ่งเดินทางกลับ หรือเปลี่ยนนายจ้างใหม่ 

 

          4. งานดูแลคนชราและผู้พิการ  ในปี 2549 ทางการอิสราเอลไม่จำกัดจำนวนโควต้าเพราะมีคนชราและผู้พิการต้องการคนดูแลมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ประกอบกับคนอิสราเอลไม่นิยมทำงานนี้ หรือถ้าจ้างคนอิสราเอลต้องจ้างในอัตราค่าจ้างสูงมาก  อย่างไรก็ตาม ก่อนจะอนุญาตจ้างแรงงานต่างชาติ จะมีการตรวจสอบ หากเห็นว่าจำเป็นจึงจะอนุญาตให้จ้างได้ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานต่างชาติมาก ขณะนี้จึงมีบริษัทจัดหางานอิสราเอลที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างชาติไปทำงานดูแลคนชรา คนป่วย และผู้พิการในประเทศอิสราเอลประมาณ 400  บริษัท (ไม่มีโควต้า อนุญาตให้จ้างตามความจำเป็นของ นายจ้างแต่ละราย   ซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)

 

 

ภาษีหรือค่าธรรมเนียมในการจ้างแรงงานต่างชาติ  ( ต่อคนงาน 1 คน /การจ้างงาน 1 ปี )

 

กรณีงานเกษตร นายจ้างจะต้องจ่ายเงินค่าอนุญาตในการจ้างแรงงานต่างชาติทำงานจำนวน 1,695 เชคเกล (16,300 บาท)  โดยจ่ายที่กระทรวงอุตสาหกรรม การค้า และแรงงาน จำนวน 1,415 เชคเกล (13,610 บาท) จ่ายที่กระทรวงมหาดไทยเมื่อคนงานเดินทางไปทำงานแล้ว จำนวน 1,180 เชคเกล (11,350 บาท)

 

กรณีงานดูแลคนชราและผู้พิการ นายจ้างต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทั้งหมดรวม 395 เชคเกล (3,800 บาท) โดยจ่ายที่กระทรวงอุตสาหกรรม การค้าและแรงงาน จำนวน 250 เชคเกล (2,400 บาท)  และค่าวีซ่าที่กระทรวงมหาดไทย จำนวน 145   เชคเกล  

 

 – กรณีงานก่อสร้าง  นายจ้างต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทั้งหมดรวม 6,945 เชคเกล (66,800 บาท)โดยจ่ายที่ กระทรวงอุตสาหกรรม การค้าและแรงงานจำนวน 6,800 เชคเกล (65,400 บาท)  และค่าวีซ่าที่กระทรวงมหาดไทย 145 เชคเกล (1,400 บาท)               

กรณีงานบริการและร้านอาหาร นายจ้างต้องจ่ายธรรมเนียมรวม 4,780 เชคเกล (46,000 บาท) โดยจ่ายค่าคำขออนุญาตจ้างแรงงานต่างชาติที่กระทรวงอุตสาหกรรม การค้าและแรงงาน จำนวน 500 เชคเกล (4,800 บาท) และจ่ายค่าธรรมเนียมการจ้างแรงงานต่างชาติ จำนวน 4,135 เชคเกล (40,000 บาท) และค่าวีซ่าอีก 145 เชคเกล (1,400 บาท) ที่กระทรวงมหาดไทย ( 1 เชคเกล เท่ากับ  8.50  บาท โดยประมาณ )

 

 


การจ้างแรงงาต่างนชาติตามระบบใหม่

 

เนื่องจากแรงงานต่างชาติที่เดินทางไปทำงานในประเทศอิสราเอล ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการเดินทางไปทำงานในประเทศอิสราเอล ทำให้ประเทศอิสราเอลถูกนานาชาติตำหนิว่าใช้ประโยชน์จากแรงงานต่างชาติเสมือนทาส ทำให้ภาพพจน์ของประเทศเสียหาย

 

รัฐบาลอิสราเอลจึงมีนโยบายลดค่าใช้จ่ายของแรงงานต่างชาติในการเดินทางไปทำงานในประเทศอิสราเอล โดยมอบหมายให้องค์กรระหว่างประเทศสำหรับการอพยพแรงงาน ( International Organization for Migration   หรือ  I.O.M ) เป็นผู้จัดส่งแรงงานต่างชาติไปทำงานในประเทศอิสราเอล

 

โดยเริ่มจากประเทศไทยเป็นประเทศแรก หากได้ผลจะได้ขยายไปสู่การนำแรงงานต่างชาติไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในประเทศอิสราเอลและกับประเทศอื่นต่อไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือของกระทรวงแรงงานของไทยกับ I.O.M

 

 

แรงงานต่างชาติ  และแรงงานไทยในอิสราเอล

 

อิสราเอลไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ  จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยรัฐบาลอิสราเอลลงทุนอย่างสูงในด้านการศึกษาของประชาชน  ทำให้อิสราเอลเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแรงงานที่มีการศึกษาสูงสุดประเทศหนึ่งของโลก   แรงงานไร้ฝีมือในอิสราเอลส่วนใหญ่เป็นชาวยิวโพ้นทะเล  จากรัสเซีย  และยุโรปตะวันออกที่เข้าไปตั้งรกรากในอิสราเอล  รวมทั้งแรงงานต่างชาติที่เข้าไปทำงานในประเทศอิสราเอล  อาทิ  แรงงานโรมาเนีย  ตรุกี  ไทย  จีน  และฟิลิปปินส์  เป็นต้น

 

แรงงานไทยได้เริ่มเข้าไปทำงานในอิสราเอลตั้งแต่ปี 2523 งานที่ทำในระยะแรกได้แก่ พ่อครัว  แม่ครัว  และช่างฝีมือต่างๆ อาทิ ช่างเชื่อม  ช่างแอร์  ช่างซ่อมรถยนต์  ในปี 2527 จำนวนแรงงานไทยได้เพิ่มขึ้นเป็นพันคน   โดยเข้าไปทำงานในรูปอาสาสมัครตามคิบบุตส์ และโมชาฟ ในปี 2537 หลังจากปิดพรมแดนอิสราเอลกับเขตยึดครองเพื่อป้องกันปัญหาการก่อการร้ายจากกลุ่มปาเลสไตน์หัวรุนแรง ทางการอิสราเอลได้อนุญาตให้มีการนำเข้าแรงงานต่างชาติแทนคนงานปาเลสไตน์ในภาคก่อสร้าง และภาคเกษตร คนไทยจึงเริ่มเข้าไปทำงานในอิสราเอลมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจำนวนเกือบ 26,000 คนในปัจจุบัน โดยทำงานในชุมชนอิสราเอลที่เรียกว่า Kibbutz  จำนวน 267 แห่ง และในชุมชนอิสราเอลที่เรียกว่า Moshav จำนวน 448 แห่งทั่วประเทศ 

 

          โมชาฟ (Moshav) คือหมู่บ้านสหกรณ์การเกษตร ปกครองตนเองภายในชุมชนแบบประชาธิปไตย มีสมาชิกแต่ละแห่งประมาณ  60-200  ครอบครัว แต่ละครอบครัวสามารถมีที่ดินเพื่อทำการเกษตรของตนเอง มีบ้านของตนเอง มีเครื่องมือทำการเกษตรของตนเอง โดยโมชาฟรับผิดชอบด้านการตลาด และจัดซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ให้สมาชิกในราคาถูก รวมทั้งจัดการให้สมาชิกทุกคนได้ใช้น้ำและที่ดินเท่าเทียมกัน

 

          คิบบุตส์ (Kibbutz) คือชุมชนที่มีลักษณะคล้ายคอมมูน ซึ่งสมาชิกเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน และได้รับการแบ่งปันผลกำไรตามผลงานที่ทำได้ในแต่ละปีแรงงานไทยในอิสราเอลส่วนใหญ่ทำงานในฐานะคนงานภาคเกษตร  โดยสามารถยึดตลาดแรงงานภาคเกษตรได้เกือบทั้งหมด อัตราการเรียกรับค่าบริการสำหรับแรงงานไทยไปทำงานภาคเกษตรในประเทศอิสราเอลอยู่ระหว่าง 60,350 – 350,000 บาท (ประมาณ 1,700 – 10,000 เหรียญสหรัฐ) ซึ่งค่าบริการและค่าใช้จ่ายที่เก็บจากคนหางานนี้ บริษัทจัดหางานในประเทศไทยต้องจ่ายให้บริษัทจัดหางานอิสราเอลสำหรับค่าการตลาด ค่าดูแลคนงานตลอดสัญญาจ้าง ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินเที่ยวกลับ  ค่าประกันสุขภาพสำหรับ 2 ปีแรก และจ่ายให้นายจ้างอีกจำนวนหนึ่งด้วย แต่การจ่ายเงินของคนหางานให้กับบริษัทจัดหางานในประเทศไทยมักไม่มีหลักฐานการรับเงินตามจำนวนที่จ่ายจริง สำหรับกรณีที่คนหางานจ่าย 60,750 บาท นั้น ไม่มีการจ่ายให้นายจ้างแต่อย่างใด และไม่รวมค่าบัตรโดยสารเครื่องบินขากลับ

 

 

สัดส่วนของแรงงานต่างชาติในอิสราเอลได้รับอนุญาตให้ทำงาน 4   สาขา   ได้แก่

 

–   ภาคเกษตร   แรงงานไทยถือครองตำแหน่งงานในสาขานี้มากที่สุดถึงกว่าร้อยละ 95

 

– ภาคบริการและร้านอาหาร  ในอิสราเอล คนไทยครองตำแหน่งเป็น Chef และ Cook มากที่สุดถึงร้อยละ 95   ในร้านอาหารไทย จีน และญี่ปุ่น  

 

–  ภาคก่อสร้าง แรงงานชาติโรมาเนีย  จีน และตุรกีถือครองตำแหน่งมากที่สุด          

  

–  ภาคดูแลคนชราและผู้พิการ  แรงงานฟิลิปปินส์ถือครองตำแหน่ง  ร้อยละ 95

 

ข้อมูล : กระทรวงแรงงาน

 

ข่าวเกี่ยวข้อง :

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง