รีเซต

EPG โบรกฯ ชี้กำไร Q3 ดีตามคาด แนวโน้ม Q4 สดใส

EPG โบรกฯ ชี้กำไร Q3 ดีตามคาด แนวโน้ม Q4 สดใส
ทันหุ้น
13 กุมภาพันธ์ 2567 ( 11:44 )
10

#EPG #ทันหุ้น-บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG โดยแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 9.00 บาท ซึ่ง EPG ได้รายงานกำไรไตรมาส 3 ปีบัญชี 66/67  (ต.ค.-ธ.ค.66) มีกำไรสุทธิ 297 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 31% จาก

ไตรมาสก่อน แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ จะมีกำไรปกติอยู่ที่ 365 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 11% จากไตรมาสก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับ consensus และฝ่ายวิจัยทำไว้

 

ฝ่าวิจัยดาโอ ยังคงประมาณการกำไรปกติปีบัญชี 66/67 ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% โดยกำไรปกติ 9 เดือนแรกคิดเป็น 74% ของทั้งปี สำหรับแนวโน้มกำไรปกติงวดไตรมาส 4  ยังสดใส จะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อน จาก Aeroklas ที่กลับมาให้บริการเต็มไตรมาส และเริ่มรับรู้คำ สั่งซื้อใหม่จากโตโยต้า ตั้งแต่ ม.ค.2567  Aeroflex ที่ผ่านช่วง low season และส่วนแบ่งกำไร JV ที่จะกลับมาดีขึ้น และจะไม่มีค่าใช้จ่าย SG&A ที่เป็น onetimeเหมือนกับในไตรมาส 3 ปีบัญชี 66/67 

 

ด้าน รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่างบการเงิน ไตรมาส 3 ปีบัญชี 66/67 (ต.ค.-ธ.ค.66) มี 3 ปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจประกอบด้วย 1) การเติบโตของยอดขายในธุรกิจหลักมีความสม่ำเสมอ 2) ราคาปิโตรเคมีปรับตัวลง และ 3) การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก Joint venture แบบก้าวกระโดด 

 

อย่างไรก็ตามมีอีก 3 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ 1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความผันผวน เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ 2) การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจากการซื้อกิจการร้านค้าปลีก TJM และ 3) การตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จึงส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากการขาย 3,374 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของ  ปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 3,006 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 12.2% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 33.2% และมีกำไรสุทธิรายไตรมาสที่ 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 213 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 43.3% โดยแบ่งการดำเนินงานตามกลุ่มธุรกิจ ดังนี้

 

 ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขาย 950 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ลดลง 2.0% จากไตรมาสที่ผ่านมา แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากความต้องการสินค้าเกรดพรีเมี่ยมและสินค้ารุ่นใหม่สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และ ระบบ Air Ducting system ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี และยอดขายในประเทศปรับตัวดีขึ้นตามการลงทุนภาคเอกชน แต่ยอดขายในอาเซียนปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มีรายได้จากการขาย 1,714 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% จากไตรมาสที่ผ่านมา โดย Aeroklas ได้รับคำสั่งซื้อจากค่ายยานยนต์อย่างต่อเนื่องรวมทั้งยอดส่งออกหลังคาครอบกระบะ (Canopy) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับออเดอร์สินค้าใหม่จะทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาสถัด ๆ ไป ในขณะที่ธุรกิจในออสเตรเลียจะมียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากภาวะตลาดที่ดีขึ้น และรับรู้รายได้จากการที่ Aeroklas Asia Pacific Group Pty. Ltd. ออสเตรเลีย ซื้อกิจการร้านค้าปลีก TJM ต่อจาก Franchisee รวม 5 แห่ง เมื่อ 1 พ.ย. 66

 

ในไตรมาสนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม Aeroklas มุ่งเน้นผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ที่มีน้ำหนักเบาซึ่งเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์เนื่องจากมีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงาน และส่งเสริมกิจกรรมการขายสำหรับธุรกิจในออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง

 

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขาย 709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 12.8% จากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการพัฒนากระบวนการผลิตให้ดีขึ้น และการปรับกลยุทธ์การขาย โดยเจาะตลาดกลุ่มบรรจุภัณฑ์ประเภทถ้วยน้ำดื่มราคาประหยัดให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ชดเชยยอดสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารชะลอตัวลง อีกทั้ง ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมงานและเฉลิมฉลองต่าง ๆ ในช่วงปลายปี

 

บริษัทมีต้นทุนขายสินค้า เพิ่มขึ้น 14.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น บริษัทได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตในหลายแหล่งเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยจากราคาวัตถุดิบมีราคาเหมาะสม สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 10.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มในส่วนของค่าใช้จ่ายพนักงาน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจากการซื้อกิจการร้านค้าปลีก จำนวน 5 แห่ง และ ค่าที่ปรึกษาในการยกระดับ Cyber Security อีกทั้ง บริษัทตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ 45.5 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากกิจการร่วมค้าในแอฟริกาใต้ซึ่งมีความล่าช้าในการขยายโครงการใหม่

 

บริษัทมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 67.7 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีผลขาดทุน 114.0 ล้านบาท โดยในปีนี้เป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจริง 5.1 ล้านบาท และ เป็นขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 62.6 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 101.2 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 41.2 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 60 ล้านบาท มาจากการเพิ่มขึ้นของธุรกิจยานยนต์และธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ทั้งในและต่างประเทศ

 

 รศ.ดร.เฉลียว กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปีบัญชี 66/67 (เม.ย.-ธ.ค.66) บริษัทมีรายได้จากการขาย 9,659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 32.5%  และมีกำไรสุทธิ 1,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง