นายกฯห่วงราคาน้ำมัน สั่ง "พลังงาน"เกาะติดสู้รบอิสราเอลและอิหร่าน จ่อหารือ "คลัง" ลดภาษี ขยายสต็อกเพิ่ม

กระทรวงพลังงาน รับนโยบายนายกรัฐมนตรี เกาะติดดูแลราคาพลังงาน ตรึงไว้ไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร พร้อมดึงคลังจ่อลดภาษีช่วยพยุงราคา และขยายสต๊อกน้ำมันเพิ่มเกิน 60 วัน
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลัง การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 5/2568 ซึ่ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่านายกรัฐมนตรี กำชับให้ดูแลราคาพลังงานที่สูงขึ้น จากผลกระทบของ สถานการณ์สู้รบระหว่าง "อิสราเอลและอิหร่าน" กดดันราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวน ต้องการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมถึงการดูแลความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศด้วย
นายประเสริฐ กล่าวว่า "เรื่องของการสู้รบระหว่าง "อิสราเอล-อิหร่าน" ที่กำลังเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงพลังงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดรวมทั้งสั่งการให้มีการปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานให้มีความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน ซึ่งกระทรวงพลังงานพร้อมดูแลทั้งมิติด้านราคาไม่ให้ส่งผลกระทบกับประชาชนโดยอาศัยกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพ และมิติด้านความมั่นคง ก็ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปริมาณสำรองน้ำมันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และพร้อมปรับปรุงโครงสร้างพลังงานให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป"
โดยกระทรวงพลังงานได้รายงานในที่ประชุมว่าได้มีการสต๊อกปริมาณน้ำมันสำรองให้เพียงพอต่อการใช้งานในประเทศได้ 60 วันตามกฎหมายกำหนด ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าสถานการณ์สู้รบอาจทวีความรุนแรงแต่ไม่ยืดเยื้อ หากจำเป็นก็มีความเป็นไปได้ที่ต้องมีการปรับเพิ่มปริมาณสต๊อกน้ำมันเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการสำรองมากกว่าที่กฎหมายกำหนดต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้ใช้กลไกของกองทุนน้ำมันในการพยุงราคาซึ่งจากสถานะของกองทุนปัจุบันน่าจะอุดหนุนราคาได้อีกไม่เกิน 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากราคาน้ำมันปรับขึ้นอีก 4-5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อาจต้องหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อใช้มาตรการภาษีเข้ามาช่วยพยุงราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเพิ่มเติม เพื่อพยายามตรึงราคาน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร
สำหรับปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,337 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 25 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,457 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 19 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,874 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศเพื่อลดผลกระทบด้านราคาให้มากที่สุด
นอกจากนี้ จากสถานการณ์สู้รบ ยังส่งผลกระทบต่อราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ใช้เป็นเขื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ปรับขึ้นเป็น 13 เหรียญสหรัฐ จาก 11 ดอลลาร์ ประกอบกับต่างประเทศใกล้จะเข้าสู่หน้าหนาว จึงจะหารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางดูแลค่าไฟให้อยู่ในอัตรา 3.98 บาทต่อหน่วย ตามนโยบายของรัฐบาล
สำหรับสถานการณ์ด้านพลังงาน ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีการนำเข้าและมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 93% เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีการใช้ไฟฟ้า 2.1 แสนล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5% และความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือ Peak อยู่ที่ 36,792 เมกะวัตต์หรือเพิ่มขึ้นถึง 5% นอกจากนั้น ในส่วนของภารกิจสำคัญของกระทรวงพลังงาน ได้นำเสนอการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ทั้งการบริหารจัดการเพื่อลดค่าไฟฟ้า
ซึ่งตลอดปี 2567 จนถึงปัจจุบัน อัตราค่าไฟฟ้าก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าน้ำมัน กระทรวงพลังงานก็ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยในยามที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาสูง และบริหารจัดการจนสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากมีหนี้กว่า 120,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว จนปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 36,200 ล้านบาท รวมทั้งยังมีการตรึงราคาก๊าซหุงต้มหรือ LPG และ NGV ซึ่งเป็นต้นทุนในการประกอบอาชีพของประชาชน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
