รีเซต

สหรัฐฯพบ “พลังงานใต้พิภพ” พลังงานที่ไม่ง้อแดด ไม่ง้อลม ความหวังใหม่ของโลกคาร์บอนต่ำ

สหรัฐฯพบ “พลังงานใต้พิภพ” พลังงานที่ไม่ง้อแดด ไม่ง้อลม ความหวังใหม่ของโลกคาร์บอนต่ำ
TNN ช่อง16
15 ธันวาคม 2568 ( 12:30 )
17

สตาร์ตอัปด้านพลังงานสะอาดจากสหรัฐฯ ค้นพบแหล่ง “พลังงานใต้พิภพ” ขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ใต้ทะเลทรายในรัฐเนวาดาตะวันตก ด้วยวิธีการที่ไม่ธรรมดา โดยอาศัยปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นเครื่องมือหลักในการค้นหา

บริษัท Zanskar Geothermal & Minerals ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในรัฐยูทาห์ ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สามารถใช้ AI ระบุตำแหน่งแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่มีอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 250 องศาฟาเรนไฮต์ ใต้พื้นที่ทะเลทรายแห่งหนึ่งของรัฐเนวาดา โดยตั้งชื่อแหล่งนี้ว่า “บิ๊กไบลนด์” (Big Blind) เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานใต้พิภพแบบ “blind system” ซึ่งไม่มีร่องรอยให้เห็นบนพื้นผิว ไม่มีน้ำพุร้อนหรือไกเซอร์ และไม่เคยมีประวัติการสำรวจมาก่อน

ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท คาร์ล ฮอยแลนด์ ระบุว่า นี่ถือเป็นการค้นพบแหล่งพลังงานใต้พิภพแบบ “blind system”  แห่งแรกของอุตสาหกรรมในรอบกว่า 30 ปี พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมามีความเชื่อกันมานานว่าศักยภาพพลังงานใต้พิภพถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว แต่ความจริงยังมีแหล่งที่ซ่อนอยู่อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ทางตะวันตกของสหรัฐฯ


พลังงานใต้พิภพถูกมองว่าอาจเป็น “ตัวเปลี่ยนเกม” ด้านพลังงานสะอาด เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่แทบไม่จำกัด ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำมาก และสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลา ต่างจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญคือการค้นหาแหล่งพลังงานและการขยายขนาดการผลิต ซึ่งต้องอาศัยสภาพธรณีวิทยาเฉพาะ ทั้งแหล่งน้ำหรือไอน้ำร้อนใต้ดิน และชั้นหินที่มีความพรุนเพียงพอให้ของไหลเคลื่อนที่ได้

ในช่วงปลายทศวรรษ 2520–2530 บริษัทน้ำมันและก๊าซรายใหญ่เคยลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อค้นหาแหล่งพลังงานใต้พิภพ แต่หลายแห่งต้องยอมถอยเนื่องจากต้นทุนสูงและอัตราความสำเร็จต่ำ โจเอล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีของ Zanskar อธิบายว่า การค้นหาแหล่งพลังงานใต้พิภพเปรียบเหมือน “การงมเข็มในมหาสมุทร” เพราะไม่มีข้อมูลชนิดใดชนิดหนึ่งที่ชี้ชัดได้ จำเป็นต้องผสานข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งเป็นงานที่ยากสำหรับมนุษย์

ตรงจุดนี้เองที่ AI เข้ามามีบทบาท โดยโมเดล AI ของ Zanskar ถูกป้อนข้อมูลจากแหล่งพลังงานใต้พิภพแบบ “blind system”  ที่เคยถูกค้นพบมาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการขุดเจาะโดยบังเอิญในอดีต จากนั้น AI จะวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ตั้งแต่ลักษณะหิน สนามแม่เหล็ก ไปจนถึงข้อมูลทางธรณีฟิสิกส์ เพื่อค้นหารูปแบบที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของแหล่งพลังงานใต้พิภพ

หลังจากระบุพื้นที่เป้าหมายได้แล้ว บริษัทได้ทำการขุดเจาะยืนยันในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยขุดลึกลงไปประมาณ 2,700 ฟุต และพบชั้นหินที่มีความพรุนและอุณหภูมิสูงถึง 250 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการผลิตไฟฟ้าในระดับเชิงพาณิชย์ แม้ขณะนี้ยังไม่ทราบขนาดที่แท้จริงของแหล่งพลังงานทั้งหมด แต่บริษัทประเมินว่าอาจเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ภายใน 3–5 ปี หลังผ่านกระบวนการขออนุญาตและเชื่อมต่อเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้า


นักวิชาการด้านธรณีศาสตร์อย่าง เจมส์ ฟอลด์ส จากสำนักงานเหมืองแร่และธรณีวิทยาเนวาดา ระบุว่า การค้นพบของ Zanskar มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากคาดว่าแหล่งพลังงานใต้พิภพของสหรัฐฯ กว่า 75% เป็นแหล่งแบบ “blind system”  หากสามารถพัฒนาวิธีการค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจปลดล็อกกำลังการผลิตไฟฟ้าได้อีกหลายสิบหรือหลายร้อยกิกะวัตต์

แม้สหรัฐฯ จะเป็นผู้นำโลกด้านพลังงานใต้พิภพ คิดเป็นราว 24% ของกำลังการผลิตทั่วโลก แต่พลังงานประเภทนี้ยังคิดเป็นเพียง 0.4% ของส่วนผสมการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า พลังงานใต้พิภพอาจมีบทบาทสำคัญในการรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยี AI ในอนาคต

การค้นพบครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “การฟื้นคืนชีพของพลังงานใต้พิภพ” และเป็นหลักฐานว่า พลังงานใต้พิภพแบบดั้งเดิมยังมีศักยภาพอีกมาก โดยนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า หาก AI สามารถช่วยค้นพบแหล่งพลังงานลักษณะนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ก็อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของโลกในระยะยาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง