เครื่องบินสอดแนม E-2 รุ่นใหม่ของกองทัพเรือสหรัฐฯ อาจตรวจจับเครื่องบินสเตลธ์ยุคใหม่ได้แทบทุกรุ่น
เครื่องบินสอดแนมอี-2 ฮ็อคอาย (E-2 Hawkeye) เป็นเครื่องบินซึ่งมีลักษณะภายนอกแบบพิเศษ คือ มีจานโดมประดับอยู่บริเวณกลางลำตัว ส่วนใหญ่ถูกใช้ในการเตือนภัยทางอากาศยาน (airborne warning and control system - AWACS) โดยมีระบบเรดาร์ที่ล้ำหน้าและทันสมัยที่สุดของกองทัพเรือสหรัฐฯ
เครื่องบินสอดแนมลำนี้ ยังแอบไปปรากฏตัวในหนัง 'Top Gun: Maverick' พาให้แฟน ๆ ผู้คลั่งใคล้ในอากาศยานและเทคโนโลยียุทโธปกรณ์ได้ตื่นเต้นกันไปชั่วขณะ
ทั้งนี้ ในภาพยนตร์ 'Top Gun' ปี 1986 ภาคแรก ยังไม่มีเครื่องบิน AWACS ปรากฏตัวแต่อย่างใด แม้ว่าเครื่องบิน E2 Hawkeyes จะเข้าประจำการกับกองทัพเรือสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 1964 เพื่อทำหน้าที่ตรวจการณ์ เตือนภัย สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพสหรัฐฯ ก็ตามที
E-2 เป็นเครื่องบิน AWACS ที่สร้างขึ้นสำหรับกองทัพเรือสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ลำแรกถูกเปิดตัวในเดือนมกราคม 1964 เพื่อทดแทนเครื่องบินติดตามรุ่น E-1 โดย E-2 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบพร็อพ 2 ตัว ให้กำลัง 5,100 แรงม้าต่อตัว รวมเป็น 12,000 แรงม้า เครื่องบินลำนี้มีความเร็วสูงสุด 643 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเร็วปกติ 474 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเพดานบินสูง 34,700 ฟุต และสามารถบินได้ 8 ชั่วโมงโดยไม่ต้องเติมน้ำมัน
ในระยะเวลากว่า 50 ปีของการออกบิน เครื่อง E-2 ได้รับการปรับปรุงยกระดับหลายต่อหลายครั้ง จนล่าสุดกองทัพเรือสหรัฐฯ มีแผนจะยกระดับ โดยจะเปลี่ยนไปใช้เครื่องบิน E-2 รุ่นใหม่ที่ล้ำยุคกว่าเดิม คือ E-2D Advanced Hawkeye
ความสามารถหลักของ E-2D ได้แก่ การตรวจจับพื้นที่เป้าหมาย, และการประเมินสถานการณ์พื้นที่สู้รบโดยเฉพาะในแนวชายฝั่ง, การสนับสนุนปฏิบัติการป้องกันขีปนาวุธทางอากาศ (TAMD)
ตามรายงานของสถาบันข่าวสารด้านยุทธนาวีของสหรัฐฯ (USNI) ที่อ้างถึงผู้เชี่ยวชาญ โดยระบุว่า E-2D Advanced Hawkeye อาจเป็นอาวุธลับของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการต่อต้านภัยคุกคามของเครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบใหม่ หรือที่รู้จักกันในสถานะเทคโนโลยี Stealth รุ่นที่ 5 (5th Gen) ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางทหารได้ยกย่องเรดาร์ UHF ที่ถูกใช้ใน E-2D ว่าเป็นมาตรการตอบโต้เทคโนโลยีการพรางตัวที่มีประสิทธิภาพสูง
ในรายงานยังอ้างข้อความเพิ่มเติมของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งระบุว่าเครื่องบินรบล่องหนขนาดเล็ก ที่ไม่มีขนาดหรือน้ำหนักเพียงพอสำหรับการบรรทุกวัสดุเคลือบดูดซับเรดาร์ที่หนากว่า 2 ฟุต จะถูกตรวจพบได้โดยเรดาร์ของ E-2D ซึ่งจะรวมถึงเครื่องบินอย่าง เฉิงตู เจ-20 (Chengdu J-20), ซุคฮอย ซู-57 (Sukhoi Su-57) และแม้แต่เครื่องบิน เอฟ-22 แร็ปเตอร์ (F-22 Raptor) และ เอฟ-35 ไลท์นิ่ง (F-35 Lightning II) ก็สามารถถูกตรวจพบได้
ที่มาของรูปภาพ US Navy
ทั้งนี้ ตามหลักขั้นตอนปฏิบัติแล้ว เรือบรรทุกเครื่องบินจะมีเครื่อง E-2 Hawkeye บินลาดตระเวน หากตรวจพบเครื่องบินขับไล่ที่เป็นภัยคุกคาม ก็จะมีการส่งเครื่องบินขับไล่ออกไป โดยเครื่องบิน E-2 จะแจ้งให้เครื่องบินรบประจำการเข้าสกัดกั้น และบอกสถานการณ์เชิงลึกทั้งหมดเกี่ยวกับพื้นที่การต่อสู้
ตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เครื่องบิน E-2 ได้เข้าร่วมปฏิบัติการทางอากาศในตะวันออกกลาง เป็นส่วนหนึ่งของการบุกโจมตีโดยกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ เข้าโจมตีอิรักที่รุกรานคูเวต
E-2 Hawkeye ทำหน้าที่ทั้งควบคุมการโจมตีทางบกและลาดตระเวนทางอากาศในอิรักอย่างโดดเด่น โดยช่วยสนับสนุนให้ข้อมูลการโจมตีทางอากาศกับเครื่องบิน F/A-18 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการโจมตี MIG-21 2 ลำของอิรัก ในช่วงต้น ๆ ของสงคราม
เครื่องบิน E-2 ใช้เรดาร์ APS-145 อันทรงพลัง หรือเรดาร์ APY-9 สำหรับรุ่น E-2D เมื่อทำงานควบคู่กับระบบระบุว่าเป็นมิตรหรือศัตรู (IFF) และระบบตรวจจับแบบย้อนกลับ ทำให้ E-2 สามารถเป็น "ดวงตา” ของฝูงบินได้ทันที โดยสามารถช่วยแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า, วิเคราะห์ภัยคุกคาม, และการควบคุมการจัดกำลังตอบโต้สำหรับเป้าหมายทั้งอากาศและทางบกทุกประเภท และยังขึ้นบินได้ในทุกสภาพอากาศ และตรวจจับเป้าหมายได้มากกว่า 600 เป้าหมาย พร้อมกับจำแนกเป้าหมายทางอากาศได้ 40 เป้าหมายพร้อมกัน
ทั้งนี้ เครื่องบิน E-2D เฟสแรกเริ่มใช้งานในเดือนตุลาคม 2014 ปัจจุบันกองทัพเรือสหรัฐฯ มีเครื่องบินรุ่นดังกล่าวอยู่ 51 ลำ แม้ว่ากองทัพเรือสหรัฐฯ จะมีแผนนำเอาเครื่อง E-2D ทั้งหมด 86 ลำเข้าประจำการ แต่ในปี 2025 จะมี Hawkeyes เพียง 78 ลำเข้าประจำการ และรอการผลิตเพิ่มเติมต่อไป
ที่มาของข้อมูล eurasiantimes.com
ที่มาของรูปภาพ US Navy