รีเซต

โดนแล้ว! กองปราบฯ บุกจับเจ้าของรร.-ร้านอาหาร ภูเก็ต โกงเงิน "เราเที่ยวด้วยกัน"

โดนแล้ว! กองปราบฯ บุกจับเจ้าของรร.-ร้านอาหาร ภูเก็ต โกงเงิน "เราเที่ยวด้วยกัน"
มติชน
27 มกราคม 2564 ( 13:27 )
92

ตำรวจกองปราบปราม เปิดปฏิบัติการบุกจับเจ้าของโรงแรม -ร้านอาหาร รวม 11 คน โกงเงินโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ทำรัฐสูญเงิน กว่า 20 ล้านบาท

 

วันนี้ ( 27 ม.ค.) พล.ต.ต.กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผบก.ทท.3 เป็นประธานในการปล่อยแถวฯ พร้อมด้วย พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5 บก.ป.นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต และจังหวัดกระบี่ เปิดปฏิบัติการจู่โจมจับกุมผู้กระทำความผิดกรณีโกงเงินโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน”

 

โดยกระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่ในส่วนของจังหวัดภูเก็ต และกระบี่หลังดำเนินการตรวจสอบโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ที่เข้าข่ายทุจริต ฉ้อโกงเงินของรัฐจากโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งเป็นโครงการที่ภาครัฐจัดทำขึ้นมาเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงไวรัสโควิด-19

 

จากการสืบสวนพบว่าผู้ประกอบการเหล่านี้มีการกระทำผิดโดยการอาศัยช่องว่าง ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการฉ้อโกง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นและหมายจับผู้กระทำผิด ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จในประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ” จนนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการดังกล่าว

 

สำหรับในส่วนของจังหวัดภูเก็ตทางเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นที่โรงแรมในพื้นที่ป่าตอง และเครือข่ายรวม 14 ราย ประกอบด้วย เจ้าของโรงแรม 3 ราย เจ้าของร้านค้า 2 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิ์ 5 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรมจำนวน 4 ราย และมีประชาชนที่ร่วมทุจริต 800 ราย

 

ผลการค้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 11 ราย โดยพฤติกรรมการทุจริตแตกต่างกันออกไป โดยโรงแรมจะร่วมมือกับทางผู้จัดการบริษัททัวร์มีการเชิญชวนว่าหากประชาชนจองห้องพักเต็มสิทธิจะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์เป็นจำนวน 3 วัน 2 คืน โดยไม่มีการพักโรงแรมจริง

 

นอกจากนี้ผู้จัดการทัวร์ยังให้ประชาชนชำระค่าบริการในการทำกิจกรรมโดยให้สแกนคูปองที่ได้รับหลังจากการเช็คอินห้องพักมาสแกนใช้จ่ายกับร้านอาหารที่ตนเองควบคุมไว้

 

อย่างไรก็ตามสำหรับในส่วนของพื้นที่ภูเก็ตพบว่า รัฐเสียหายจากพฤติกรรมดังกล่าวในส่วนของโรงแรมจำนวน 18 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดจำนวน 2 ร้านประมาณ 3.9 ล้านบาท


สำหรับการกระทำความผิดในการโกงเงินโครงการดังกล่าว ผู้ต้องหามีการกระทำเป็นขบวนการ โดยจะมีผู้มีสิทธิ ตามหาซื้อสิทธิในโครงการโดยให้ค่าตอบแทนรายละ 400-500 บาท เมื่อประชาชนขายสิทธิให้แล้ว ผู้ซื้อสิทธิจะให้เจ้าของสิทธิติดตั้งแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ก่อน หลังจากนั้นผู้ซื้อสิทธิจะนำเอาโทรศัพท์ของเจ้าของสิทธิไปดำเนินการจองโรงแรมและใช้คูปอง หรือ อีกวิธีหนึ่งคือจะนำเอาข้อมูลบัตรประชาชนและซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วไปขายต่อให้กับผู้สวมสิทธิ โดยจะขายให้ผู้สวมสิทธิในราคา 800-1,000 บาท เมื่อผู้สวมสิทธิได้รับสิทธิจากโครงการดังกล่าวแล้วจะจ้างให้ผู้ร่วมขบวนการกรอกข้อมูลเพื่อจองที่พักกับทางโรงแรม โดยจะมีกลุ่มที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารอีกกลุ่มที่คอยทำธุรกรรมทางการเงินแทนเจ้าของสิทธิ ซึ่งหลังจากผู้สวมสิทธิเช็คอินตามห้องพักที่จองไว้ทางผู้สวมสิทธิจะนำคูปองที่ได้รับหลังการเช็คอินไปจ่ายกับร้านค้าที่ตนควบคุมได้

 

ส่วนที่จังหวัดกระบี่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามนำกำลังเข้าตรวจค้นจำนวน 3 จุด จับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน
อย่างไรก็ตามก็ตามหลังการจับกุม ทางหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดเดินไปยังกองปราบปราบเพื่อสอบคำเพิ่มเติม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง