“กูรูทองคำ” ชวนส่องคาดการณ์ราคาทองจะไปถึงไหน ในยุคภาษีทรัปม์ ป่วนโลก

ตลาดทองคำโลก ปัจจุบันปรับตัวพุ่งขึ้นสูงและมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ และนโยบายภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯที่มีต่อนานาประเทศ นักลงทุนจึงต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ซึ่งการันตีว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ อย่าง"ทองคำ"มากยิ่งขึ้น
ซึ่งในช่วงวันที่ 23 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมาความเคลื่อนไหวของราคาทองคําในตลาดโลก (Gold Spot) สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-Time High) สูงถึง 3,500 ดอลลาร์ ภายใน 39 วัน ผลตอบแทนสูงถึง 30% โดยทองคำในประเทศทำนิวไฮเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมาอยู่ที่บาทละ 53,250 บาท ตามข้อมูลล่าสุด จากเว็บไซต์ของสมาคมค้าทองคำ เมื่อเวลา 17.21 น.
ด้านราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ รับซื้ออยู่ที่บาทละ 52,350 บาท ขายออก 52,450 บาท ส่วนทองรูปพรรณ 96.5% รับซื้ออยู่ที่บาทละ 51,407.56 บาท และมีราคาขายออกที่ 53,250 บาท ขณะที่ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 3,301.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับคาดการณ์ราคาทองต่อจากนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน และมีปัจจัยอะไรบ้างที่ต้องติดตาม โดย TNN Wealth ได้รวบรวมข้อมูลล่าสุดจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านทองคำ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน ดังนี้
เริ่มจาก สมาคมค้าทองคำ เผยถึงทิศทางราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงต่อเนื่อง ล่าสุด (22 เม.ย. 68) ทดสอบระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แล้ว ชี้เป็นผลจากความกังวลสงคราม เศรษฐกิจถดถอย และเงินเฟ้อทั่วโลก ดันนักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย พร้อมขยับเป้าหมายราคาทองคำขึ้นเป็น 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เตือนนักลงทุนถึงความผันผวนที่ไม่เคยเจอมาก่อนในรอบ 70 ปี
สำหรับราคาทองคำในประเทศไทย คาดว่าจะอยู่ที่ 57,000-58,000 บาท แต่ก็ยังไม่ปิดโอกาสหากสถานการณ์โลกยังคงคาดเดาไม่ได้และหนุนราคาทองคำโลกต่อไป รวมถึงหากค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่า
บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) GBX มองว่า ราคาทองตอนนี้กรอบใหญ่มองว่าจะอยูที่ราว 3,100-3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ช่วงนี้น่าจะเล่นกรอบนี้ไปก่อนจนกว่าจะทะลุกรอบบนได้ หากทรัมป์มีนโยบายแปลก ๆ อะไรออกมา ก็อาจจะกลับไปที่จุดสูงสุดเดิมได้ แต่ถ้าทะลุไม่ได้ แล้วการเจรจาดีขึ้นเรื่อย ๆ จนหลุดกรอบล่างลงมา ก็น่าจะจบรอบแล้ว
ส่วนทองไทยตอนนี้จะอ่อนตัวลงมากกว่า เพราะเงินบาทแข็งค่าด้วย และถ้าทองโลกลง ทองไทยก็มีโอกาสลงมากกว่า ซึ่งมองกรอบที่ 51,000-53,500 บาท สำหรับกลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้ แนะนำเล่นเก็งกำไร ไม่แนะนำซื้อแล้วถือยาว
บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุว่าล่าสุด 25 เม.ย.2568 ราคาทอง Spot ฟื้นตัวขึ้นแรง 60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปิดที่ 3,347 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังปรับลดลงแรงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากดอลลาร์อ่อนค่าลง การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่คาดยืดเยื้อ
ขณะที่ทองคำในประเทศเผชิญแรงขาย หลังทองโลกขึ้นทดสอบ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ประเมินว่าอาจเหลือ Downside อีกพอสมควร จึงแนะนำใช้กลยุทธ์เชิงรับรอเข้าซื้อสะสมที่ระดับ 50,500-51,000 บาท
บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA จากวันที่ 25 เม.ย. 2568 ราคาทองย่อตัว แต่หลังจากทรงตัวเหนือ 3,306 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ทำให้เกิดการดีดตัวขึ้นอีกครั้ง หากยืน 3,306 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ต่อเนื่องยังคงเป็นชุดดีด แต่ “ดีดเพื่อลงต่อ” จะมีต้าน 3,380-3,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับทองคำในประเทศอาจจะถึงระดับ 60,000 บาท ซึ่งมองว่านักลงทุนก็ต้อง wait & see อย่างใกล้ชิด
สำหรับกลยุทธ์ ขายหากไม่ผ่าน 3,380-3,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ชะลอขาย หรือตัดขาดทุนสถานะขายหากราคาผ่าน 3,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ซื้อคืนหากราคาไม่หลุด 3,346-3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลุด 3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ชะลอซื้อไปหากยืน 3,316-3,306 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้
อย่างไรก็ดี ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาได้รับแรงหนุน หลังจากโฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีน กล่าวปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ โดยระบุว่าข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด บ่งชี้ว่าสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
บริษัท จีแคป จำกัด ประเมินว่า ราคาทองคำในปี 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปในระบบเศรษฐกิจโลกที่ต้องเผชิญกับความเปราะบางรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของตลาดทุน การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายของรัฐบาลมหาอำนาจ หรือความไม่แน่นอนในแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมากหันกลับมาให้น้ำหนักกับทองคำในฐานะสินทรัพย์หลัก ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือกระจายความเสี่ยงอีกต่อไป
ด้านกลยุทธ์การลงทุน : ราคาปัจจุบันยังคงแสดงภาพของแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีแนวรับสำคัญที่ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากเกิดการพักตัว ก็จะเป็นเพียงการพักตัวในแนวโน้มขาขึ้น และมีแนวรับระยะสั้นภายในสัปดาห์ ที่ 3,285 เเละ 3,225 - 3,200 ต่อออนซ์ คิดเป็นราคาทองคำไทย ประมาณ 51,700 - 50,800 บาท
ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ระดับ 3,485 ต่อออนซ์ และ 3,552 ต่อออนซ์ คิดเป็นราคาทองคำไทย 54,500- 55,300 บาท ตามลำดับ ดังนั้นจึงแนะนำนักลงทุนระยะสั้น โดยพิจารณาใช้จังหวะในการเล่นย่อ เพื่อสะสมตามแนวรับ, นักลงทุนระยะกลางถึงยาว ควรพิจารณาการถือทองคำ ในสัดส่วน 10–15% ของพอร์ต
บริษัท ออสสิริส จำกัด มองว่า ทิศทางทองคำในรระยะสั้นยังปรับลดลงได้อีก ถ้าการเจจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ -จีนราบรื่น จับตาการเคลื่อยไหวระดับ 3,260 ดอลลาร์/ออนซ์ รับไม่อยู่ส่งสัญญาณเสียทรงขาขึ้น
ด้านกลยุทธ์การลงทุน : นักลงทุนระยะสั้นควรแบ่งไม้ทยอยเข้าลงทุน ส่วนระยะกลางแนะรอรับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ เป้าสิ้นปียังลุ้นราคาขึ้นแตะ 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนทองคำในประเทศแนะรอรับที่ระดับ 51,000 -49,000 บาท/บาททองคำ
อินเตอร์โกลด์ (InterGOLD) วิเคราะห์ทองคำในประเทศ มีโอกาสทองลงต่อ ได้อีกถึงระดับหรือบริเวณ 50,000 - 51,000 บาท เเละทองคําในตลาดโลก (Gold Spot) มีโอกาสทองลงต่อได้อีกถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ราคาทองขึ้นมาระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 55,000 บาท จากคำพูดไม่กี่คำของทรัมป์สามารถพลิกตลาดได้เลย
ด้านกลยุทธ์การลงทุน : อยากให้รอดูไปก่อนสำหรับคนเล่นสั้น เพราะมีโอกาสทองลงต่อได้อีก ส่วนคนที่ถือยาว ถ้าราคาย่อมาแรงและถูกใจ ณ ปัจจุบันก็สามารถซื้อเก็บได้ ส่วนจะเผื่อเงินไว้หากคาดว่าทองจะลงมากว่านี้หรือไม่ ก็ตามที่สะดวกได้เลย เพราะทองตอนนี้ไม่มีคำว่าขาลง มีแต่ขึ้น และพักฐานเพื่อขึ้นต่อเท่านั้น