"อาเซียน"-5 ใครมี"ทุนสำรองฯ"แข็งแกร่งที่สุด?

ทุนสำรองระหว่างประเทศ คือเงินตราต่างประเทศและสินทรัพย์มีค่าที่ธนาคารกลางสะสมไว้เหมือน “กองทุนฉุกเฉิน” ขนาดใหญ่ ที่พร้อมจะถูกดึงมาใช้ในยามวิกฤต เช่น เมื่อเอกชนหรือรัฐบาลไม่สามารถหาเงินตราต่างประเทศในตลาดได้ หรือเมื่อค่าเงินของประเทศกำลังจะผันผวนจนทำให้เศรษฐกิจสั่นคลอน ธนาคารกลางก็จะใช้ทุนสำรองนี้เข้ามา “แทรกแซง” ลดความผันผวนเหล่านั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงระบบการเงินประเทศ
แต่ประเทศควรมีทุนสำรองฯมากแค่ไหนถึงจะปลอดภัย? มีเกณฑ์สากลที่ใช้วัดกันคือ หากทุนสำรองฯของประเทศสามารถรองรับการนำเข้าสินค้าและบริการได้มากกว่า 3 เดือน หรือสามารถชำระหนี้ต่างประเทศระยะสั้นที่ครบกำหนดใน 1 ปีข้างหน้าได้ทั้งหมด นั่นแปลว่า “ประเทศนั้นมีเกราะป้องกันทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเพียงพอ”
แล้วในกลุ่มประเทศอาเซียน 5 ประเทศ “อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย” ใครแกร่งสุด?
จากข้อมูลรวบรวมโดย "คุณกุสุมา ธะนะวงศ์” นักเศรษฐศาสตร์ Bnomics ธนาคารกรุงเทพ พบว่า สิงคโปร์ เป็นประเทศยืนหนึ่งแบบทิ้งห่าง มีทุนสำรองฯกว่า 390,000 ล้านดอลลาร์ มากที่สุดในกลุ่ม ASEAN-5 และติดอันดับต้น ๆ ของโลกเมื่อเทียบกับ GDP ด้วยความเป็นศูนย์กลางการเงินโลก สิงคโปร์จึงสะสมทุนสำรองมหาศาลเพื่อรองรับความผันผวนของตลาดโลกและรักษาเสถียรภาพค่าเงิน
สำหรับไทย เป็นรองแชมป์ที่ยังมั่นคง มีทุนสำรองฯราว 260,000 ล้านดอลลาร์ ถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และเพียงพอต่อการนำเข้าเกิน 8 เดือน
ตามด้วยอินโดนีเซีย มีทุนสำรองฯอยู่ที่ 150,000 ล้านดอลลาร์ ถือว่ามีเสถียรภาพแต่ต้องระวัง เนื่องจากยังเผชิญแรงกดดันจากทุนไหลออกและค่าเงินที่ผันผวนง่าย
ขณะที่ มาเลเซีย มีทุนสำรองฯที่ราว 120,000 ล้านดอลลาร์ ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอ แต่มีความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีที่ขึ้นอยู่กับวัฏจักรโลก
และ ฟิลิปปินส์ มีทุนสำรองประมาณ 110,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากระดับสูงสุดในช่วงโควิด โดยยังพอรองรับการนำเข้าได้ราว 7 เดือน แต่หากสถานการณ์การนำเข้า-ส่งออกผันผวนมากกว่านี้ อาจต้องระวัง
ทั้งนี้ ทุนสำรองฯ ที่มาก ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจจะแข็งแรงเสมอไป แต่จะเป็น “กันชน” สำคัญในโลกที่เปราะบาง ใครมีมากย่อมรับแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า ซึ่งประเทศไทยรู้ดีว่า ทุนสำรองฯ ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่คือเครื่องมือประคองเสถียรภาพยามวิกฤต
นักเศรษฐศาสตร์ Bnomics ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า การวิเคราะห์เงินสำรองฯที่แท้จริงต้องมองลึกทั้ง “ภาระนำเข้า” และ “หนี้ระยะสั้น” และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ในโลกที่ไม่แน่นอน “ความยืดหยุ่น” คือแต้มต่อที่ประเมินค่าไม่ได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
