เอเซียพลัสคัด 20 หุ้นใหญ่-กลาง ราคา Laggard พื้นฐานแกร่ง ลุ้นดีดช่วงสั้น
#ทันหุ้น-บล.เอเซีย พลัส ระบุว่าการลงทุนในเชิงกลยุทธ์ ให้เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ เพื่อลุ้นดีดตัวขึ้นช่วงสั้น จากปัจจัยพื้นฐานแกร่ง (EPS GROWTH 25F>10%) และราคาหุ้น LAGGARD ตลาดหุ้นไทย(RETURN YTD <0%) อาทิหุ้น IVL, PTTGC, BCP, SCC, OR, DOHOME, TOP, BJC, SCGP และ SPRC และอื่นๆ
ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส ระบุว่า VALUATION SET ยังไม่น่าสนใจ ในหลายมุมมอง ขอเริ่มจาก TRAILING P/E (PRICE/TRAILING EPS) ของ ดัชนีหุ้นไทยปัจจุบัน สูงเกิน 20 เท่า ซึ่งถือว่าสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเกือบทุกตลาด อาทิ TRAILING P/E ตลาดหุ้นอินโดฯ 15.2 เท่า,เวียดนาม 13.4 เท่า, ฟิลิปปินส์ 12.8 เท่า และ ฮ่องกง 9.8 เท่า ขณะที่หากพิจารณา TRAILING EPS หรือ กำไร 4 ไตรมาสย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยต่ำอยู่ที่ 8.9 แสนล้านบาทเป็นการถูกกดดันจากกำไรงวดไตรมาส 4/66 และไตรมาส 3/67 3Q24 ที่ต่ำกว่าระดับปกติ กดดัน TRAILING EPS เหลือเพียง 72.5 บาท/หุ้น แทบจะต่ำสุดนับตั้งแต่ปีหลัง COVID-19
ขณะที่เม็ดเงินไหลเข้า THAIESG ในช่วงปลายปี คงหวังได้ยากขึ้น หลังข้อมูลเชิงสถิติบ่งชี้ว่า ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา(เดือน 9 -10) NAV กองทุนหุ้นกับกองทุนตราสารหนี้เพิ่มเท่าๆ กัน 1.6 พันล้านบาท ทั้งๆที่มูลค่า AUM ของกองหุ้นมีขนาดใหญ่กว่ากองทุนตราสารหนี้2-3 เท่า จึงทำให้ถ้า 2 เดือนท้าย เม็ดเงิน THAIESG เข้า 2 หมื่นล้านบาท อาจแบ่งมาในตลาดหุ้น 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
ประเด็นดังกล่าวจึงกดดันมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยค่อยๆ ชะลอลง โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ย.67 อยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท น้อยกว่า 2 เดือนก่อนหน้าอย่างมีนัยฯ จึงทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังในการลงทุนหุ้นรายตัวเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม วันศุกร์ที่ผ่านมาศาล รธน. มีมติไม่รับคำร้อง “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครอง จึงทำให้นักลงทุนผ่อนคลายความกังวล และหนุนดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นวันนั้นราว 6 จุดปิดที่ระดับ 1,446.30 จุด