รีเซต

สรุปภาพรวมงานสัมมนา "Accelerate Thailand ขับเคลื่อนไทยไปเชื่อมโลก"

สรุปภาพรวมงานสัมมนา "Accelerate Thailand ขับเคลื่อนไทยไปเชื่อมโลก"
TNN ช่อง16
10 กันยายน 2567 ( 08:47 )
33



ในงานสัมมนา "Accelerate Thailand ขับเคลื่อนไทยไปเชื่อมโลก" จัดโดย TNN เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567 ณ ทรูดิจิทัล พาร์ค ผู้นำจากภาคธุรกิจและหน่วยงานสำคัญของไทยได้ร่วมนำเสนอวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก ท่ามกลางความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว


ยกระดับอุตสาหกรรมไทยด้วยยุทธศาสตร์ "ONE FTI"


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์ "ONE FTI" ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย โดยประกอบด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่ ONE VISION เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย, ONE TEAM บูรณาการความร่วมมือระหว่าง 46 กลุ่มอุตสาหกรรมและหน่วยงานภาครัฐ, และ ONE GOAL มุ่งสู่เป้าหมายความสำเร็จร่วมกัน


ยุทธศาสตร์นี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ First Industries เน้นยกระดับอุตสาหกรรมเดิม และ Next-gen Industries สร้าง 12 กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า, อุตสาหกรรมชีวภาพ และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังริเริ่มโครงการ Flagship เพื่อยกระดับ SMEs สู่ Smart SMEs ด้วยแนวทาง 4GO ได้แก่

1. GO Digital & AI: โครงการ "Digital One" ช่วย SMEs ปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล

2. GO Innovation: จัดตั้งกองทุน Innovation One มูลค่า 1,000 ล้านบาท สนับสนุนนวัตกรรม SMEs

3. GO Global: โครงการ FTIG GLOBAL ส่งเสริมการส่งออกและเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานโลก

4. GO Green: โครงการ FTI Go Green สนับสนุนการปรับตัวสู่ Net Zero และ ESG


นายเกรียงไกรยังเน้นย้ำความสำคัญของการเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดย ส.อ.ท. มีความร่วมมือทางธุรกิจกับ 24 ประเทศทั่วโลก พร้อมเรียกร้องความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนและการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่


สุวรรณภูมิสู่การเป็นศูนย์กลางการบินแห่งเอเชีย


ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT นำเสนอแผนพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยการลงทุนกว่า 120,000 ล้านบาท โดยมีโครงการสำคัญ ดังนี้:


1. ขยายอาคารผู้โดยสารหลัก (Main Terminal) โดยต่อเติมปีกด้านทิศตะวันออก เพิ่มพื้นที่ 80,000 ตารางเมตร ใช้งบประมาณ 12,500 ล้านบาท

2. ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ (South Terminal) รองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 60 ล้านคนต่อปี

3. เพิ่มรันเวย์ที่ 3 และ 4 เพื่อเพิ่มความสามารถรองรับเที่ยวบินจาก 68 เป็น 94 เที่ยวต่อชั่วโมง


นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ เช่น ระบบเช็คอินอัตโนมัติ ระบบตรวจคนเข้าเมืองด้วยการสแกนใบหน้า และระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ โดยตั้งเป้าลดระยะเวลาในกระบวนการเดินทางให้ผู้โดยสารขาเข้าใช้เวลาไม่เกิน 25 นาที และผู้โดยสารขาออกไม่เกิน 30 นาที


AOT ตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 83 ล้านคนต่อปีภายในปี 2572 และผลักดันให้สุวรรณภูมิติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 10 ปี


CPF ผลักดัน Net-Zero และยกระดับ SMEs สู่ความยั่งยืน


นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจสู่เป้าหมาย Net-Zero ภายในปี 2593 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศไทย 10-15 ปี โดย CPF ได้รับการรับรองเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกแบบ FLAG (Forest, Land and Agriculture) จาก SBTi ซึ่งเป็น 1 ใน 44 บริษัททั่วโลก และเป็นบริษัทแรกของไทยที่ได้รับการรับรองนี้


CPF ได้ริเริ่มโครงการ "SME Excellence" เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถปรับตัวสู่การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และโครงการ Contract Farming เพื่อสนับสนุนเกษตรกร โดยตั้งเป้าหมายในปี 2024 จะมีเกษตรกรเข้าร่วม 5,268 คน สร้างรายได้รวม 8,534 ล้านบาท


ดีป้าเสนอแผนยกระดับทักษะดิจิทัลคนไทย


ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) นำเสนอแผนพัฒนาทักษะดิจิทัล 3 ระดับ ได้แก่:

1. Digital Skills for All สำหรับประชาชนทั่วไป

2. Digital-Driven Career สำหรับการประกอบอาชีพในยุคดิจิทัล

3. Digital Professional สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล


ดีป้าเสนอมาตรการสนับสนุน เช่น การลดหย่อนภาษี 250% สำหรับค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และการลดหย่อนภาษี 150% สำหรับการจ้างบัณฑิตจบใหม่หรือผู้สูงอายุที่ผ่านการอบรมทักษะดิจิทัล


ดีป้าตั้งเป้าพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับประชาชนไทย 66.05 ล้านคน แรงงานในระบบ 19.38 ล้านคน และแรงงานนอกระบบ 20.19 ล้านคน


ปรับจุดยืนไทยในโลกที่แบ่งขั้ว


ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา ได้วิเคราะห์สถานการณ์โลกที่กำลังเข้าสู่ยุค "Deglobalization" อันเป็นผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน วิกฤตโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน


รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช เสนอ 3 ทางเลือกนโยบายต่างประเทศสำหรับไทย ได้แก่ การเป็นกลางแบบยืดหยุ่น การเสริมสร้างแกนนอก และการประกาศเป็นศูนย์กลางอาเซียน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการกำหนดผลประโยชน์ของชาติให้ชัดเจน และการแสวงหาความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ทั้งในและนอกภูมิภาค


โอกาสทองการลงทุนไทย


ผู้เชี่ยวชาญในวงการหลักทรัพย์ได้ร่วมวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยและโอกาสการลงทุนในอนาคต โดยคุณกวี ชูกิจเกษม จาก บริษัทหลักทรัพย์ พาย ชี้ให้เห็นถึงจุดแข็งของไทยด้านภูมิศาสตร์และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะโอกาสจากนักท่องเที่ยวอินเดียที่ปัจจุบันมีเพียง 1% ที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ คุณกวีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะกลับไปสู่ระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2018


คุณอาทิตย์ จันทร์สว่าง นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เน้นย้ำความสำคัญของการสร้างสมดุลระหว่างการกำกับดูแลและการส่งเสริมการลงทุน พร้อมชี้ให้เห็นว่าแม้อัตราดอกเบี้ยของไทยจะต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค แต่ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตได้ดี


คุณสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น โดยระบุว่าความกังวลเรื่องราคาน้ำมันและค่าเงินบาทเป็นประเด็นสำคัญ "ผมเชื่อว่าค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงถึงระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น" คุณสรพลกล่าว พร้อมคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 3.1% ในปีหน้า


คุณสรพลแนะนำให้จับตาหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและเล็ก นอกจากนี้ ยังวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ว่ามีแนวโน้มที่ดีจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์


คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เน้นย้ำถึงจุดแข็งของประเทศไทยในด้านการบริการและการแพทย์ "เรามีความเข้มแข็งในด้านการบริการและการแพทย์ ซึ่งเป็นโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จากทั่วโลก" คุณทิวากล่าว


ความท้าทายและการปรับตัวของภาคธุรกิจไทย


แม้จะมีโอกาสทางเศรษฐกิจมากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านเห็นพ้องว่า การเติบโตในระยะยาวของเศรษฐกิจไทยยังต้องอาศัยการปรับปรุงโครงสร้างอย่างมาก คุณกวี ชูกิจเกษม ยกตัวอย่างความท้าทายในการทำธุรกิจในประเทศไทย เช่น การต้องขอลายเซ็นถึง 50 ลายเซ็นเพื่อเริ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์เพียงหนึ่งโครงการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของระบบราชการที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล จาก ส.อ.ท. เรียกร้องให้มีการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย การส่งเสริมการลงทุนผ่าน BOI และการเจรจา FTA กับต่างประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย


ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ จากดีป้า เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อรองรับการพัฒนานวัตกรรมและบริการดิจิทัลในอนาคต



-------------------------


งานสัมมนา "Accelerate Thailand" ได้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสที่ประเทศไทยกำลังเผชิญในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง การกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน การสร้างความร่วมมือ และการลงทุนในด้านต่างๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งอนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน


อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การพัฒนาทักษะแรงงาน และการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุนยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ นอกจากนี้ การปรับจุดยืนของไทยในเวทีโลกท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจก็เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ


ในท้ายที่สุด ความสำเร็จในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เวทีโลกจะขึ้นอยู่กับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการผลักดันนโยบายและยุทธศาสตร์ต่างๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรักษาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน



ภาพ TNN

เรียบเรียงโดย : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง