บล.กรุงศรี ส่องหุ้น NEO ประเมินเป้าเหมาะสม 54 บ.

#บล.กรุงศรี #ทันหุ้น - NEO เป็นหนึ่งในผู้นำในตลาด FMCG บล.กรุงศรี มองว่ายังมีศักยภาพจากการเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมด้วยคาดรายได้เติบโตเฉลีย 12% ต่อปีเทียบกับมูลค่าตลาดที่เติบโต 5-6% ต่อปี จากการออกสินค้าใหม่
NEO เป็นหนึ่งในผู้ทำการตลาด ผลิต และจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศโดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ กล่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ทั้งนี้ แบรนด์สินค้าหลักของบริษัท ได้แก่ แบรนด์ไฟน์ไล่น์ (Fineline) แบรนด์ดีนี่ (D-nee) และแบรนด์บีไนซ์ (BeNice) ซึ่งอยู่ในอันดับต้นๆของตลาดโดดเด่นกว่าตลาดด้วยการเติบโตที่มากกว่า และเพิ่มส่วนแบ่งตลาด
บล.กรุงศรี มองว่า NEO มีจุดแข็งและการเติบโตมาจาก 1) การเป็นผู้นำในหลายผลิตภัณฑ์ ที่มีการเติบโตที่สูงกว่าตลาด และเป็นเจ้าตลาด อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก (ส่วนแบ่งตลาด 70%) และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก (ส่วนแบ่งตลาด 79%) และผลิตภัณฑ์ล้างภาชนะสำหรับเด็ก (ส่วนแบ่งตลาด 54%) 2) การเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการผู้บริโภคและการขยายเข้าสู่ลูกค้าใหม่ๆ เช่น prerniumn mass, premium มากยิ่งขึ้น 3) ช่องทางจำหน่ายครอบคลุม และมีโอก่าสในการเติบโตต่างประเทศ จากปัจจุบันสัดส่วน 12% 4/ แผนขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิมขึ้น
บล.กรุงศรี คาดผลประกอบการของ NEO จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR 3 ปี 2024-27F) ที 12% จากคาดการเติบโตรายได้เฉลีย 12% ต่อปี จากการเติบโตของตลาดสินค้าในแต่ละกลุ่ม การออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องและการตลาดส่งเสริมการขาย ที่ทำให้คาดยอดขายของบริษัทจะเติบโตและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดมากยิ่งขึ้น และจากการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 54 บาท
บล.กรุงศรี ประเมินมูลค่าเหมาะสมสำหรับบริษัท NEO ที่ 54 บาท อิงจาก 18x P/E 2024F ซึ่งให้ discount เมื่อเทียบกับคู่เทียบที่ชื่อขายเฉลี่ยอยู่ที่ P/E 20x เนื่องจากการคาดการณ์ผลประกอบการทีเติบโตที 8% ในปี 2024F และ 7% ในปี 2025F เมือเทียบกับคู่เทียบในตลาดที่ยังคาดการณ์เติบโต 2 หลัก ปัจจัยเสียง การแบ่งขันที่สูงในอุตสาหกร์รม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและต้นทุนที่ปรับตัวขึ้นกว่าคาด