รีเซต

เคาะระฆังเทรด "Thai ESGX" 2 พ.ค.68 พร้อมโยก LTF ตั้งเป้าระดมทุน 2 หมื่นลบ.

เคาะระฆังเทรด "Thai ESGX" 2 พ.ค.68  พร้อมโยก LTF ตั้งเป้าระดมทุน 2 หมื่นลบ.
TNN ช่อง16
28 เมษายน 2568 ( 14:20 )
10

กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือการเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกองทุน Thai ESGX และรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 และเปิดบริการใหม่ให้ผู้ลงทุนตรวจสอบข้อมูลการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทุกกองทุนจากทุกบลจ. แบบรวมศูนย์ผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการที่ภาครัฐให้การสนับสนุน โดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุนตั้งเป้าระดมเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท

ตามที่ภาครัฐมีมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไป Thai ESGX ในช่วงเวลา 2 เดือน คือพฤษภาคม – มิถุนายน 2568 ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกหลักเกณฑ์รองรับจัดตั้งและจัดการ Thai ESGX ในขณะนี้มี Thai ESGX รวม 37 กองทุน จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 19 แห่ง อยู่ระหว่างพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้ง

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมจัดการลงทุนได้เตรียมความพร้อมในการเสนอขาย Thai ESGX พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 และรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยสามารถดูข้อมูลการถือครองกองทุน LTF ทั้งหมดของตนเองได้ในที่เดียว เพื่อตรวจสอบและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษี ได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th/ltf

นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)กระทรวงการคลัง กล่าวว่า “ภายหลังการทยอยขายหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ในช่วงต้นปี 2568 ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย จึงมีการเสนอมาตรการภาษีเพื่อรักษาเสถียรภาพ ยกระดับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยังยืน (ESG) โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางสำหรับเงินลงทุนใหม่และเงินลงทุนเดิม คือ

1) การลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX

2) การลดหย่อนภาษีสำหรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESGX

ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุน เพิ่มจำนวนนักลงทุนที่ตระหนักถึงความยั่งยืน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีเป้าหมาย ด้านความยั่งยืน ตลอดจนผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปรับธุรกิจสู่ความยังยืนในระยะยาว”

ทั้งนี้การให้สิทธิประโชน์ทางภาษีกับกองทุน Thai ESGX ประเมินว่าจะกระทบต่อรายได้จัดเก็บภาษีราว 2 หมื่นล้านบาทในปีแรกของการจัดตั้งกองทุนและมีการลงทุนเข้ามา ขณะที่ในส่วนของการโอน LTF เข้ามา คาดว่าจะกระทบราว 2-3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกองทุน Thai ESGX คุ้มค่า และจำเป็นจริง ๆ เนื่องจากสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีปัจจัยท้าทายรอบด้าน จึงต้องมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื้อจูงใจการระดมทุน ในการพัฒนาตลาดทุน ทั้งนี้ยืนยันว่าหากไม่จำเป็นจริง ๆ คลังจะไม่นำมาตรการภาษีมาใช้ในแง่ของการบิดเบือนพฤติกรรมการลงทุน

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ก.ล.ต. เชื่อมั่นว่า Thai ESGX จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และ ส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนลงทุนระยะยาวผ่านตลาดทุน ซึ่งที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้เร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ บลจ. สามารถยื่นขอจัดตั้งและอนุมัติได้ตามช่วงเวลาที่วางไว้ พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ บลจ. รวมทั้งกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ถือหน่วยลงทุน LTF สามารถตรวจสอบหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ตนเองถือครองอยู่ได้ เนื่องจากตามเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไป Thai ESGX ให้ครบทุกกองทุน ทุก บลจ.”

ก.ล.ต. มองว่าภาษีต้องใช้อย่างคุ้มค่า ซึ่งกองทุน ESG ทำให้บริษัทจดทะเบียนเข้ามาเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ESG มากขึ้นเพิ่มมากขึ้น โดยกิจกรรมของบริษัทจดทะเบียนส่งผลทางตรงและทางอ้อม กับเศรษฐกิจและความยั่งยืนของประเทศ รวมทั้งการเข้าสู่สังคม Net Zero Carbon ที่มีพันธกิจร่วมกันอยู่ แต่เชื่อว่าไม่อยากเห็นมาตรการต่าง ๆ ออกมาเป็นระยะสั้น ดังนั้นมาตรการที่ประสบความสำเร็จต้องมีการทำต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ศึกษามาตรการต่าง ๆ ซึ่งมีการศึกษา Individual Investment account ร่วมกันกับตลท. และ AIMC อยู่ เป็นการรวบรวมการลงทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี มารวมเป็นที่เดียว เพื่อทำให้การจัดการต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ลงทุนเองก็สามารถติดตามการลงทุนของตนเองได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าของมาตรการเป็นระยะ

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุน เรามุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว มีส่วนช่วยรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทย และมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทยให้มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero มีการใส่ใจสังคมและการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อร่วมผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง โดยตั้งแต่กองทุน Thai ESG เริ่มจัดตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2566 นั้น ได้เห็นพัฒนาการที่ดียิ่ง ทั้งในมิติการมีส่วน ร่วมลงทุนของคนไทย (252,403 ราย ณ สิ้นปี 2567) มิติของการเติบโตของขนาดกองทุน (AUM 33,066 ล้านบาท ณ 31 มีนาคม 2568) มิติความครอบคลุมของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 440 บริษัท เติบโตจาก 200 กว่าบริษัทในตอนเริ่มจัดตั้งกองทุน

สำหรับ Thai ESGX นั้น บลจ. 19 แห่ง ได้เตรียมพร้อมนำเสนอ 37 กองทุน ซึ่งผู้สนใจสามารถลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 หรือแจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทั้งหมด ทุกกองทุน ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยสามารถลงทุนและสับเปลี่ยนได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 เท่านั้น ทั้ง บลจ และผู้สนับสนุนการขายที่ได้รับการแต่งตั้งพร้อมแล้วที่จะร่วมมือกันเพื่อสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำผู้ลงทุน โดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุนได้ตั้งเป้าหมายในการระดมเงินลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท”

สำหรับตลาดหุ้นไทยในระดับปัจจุบันเชื่อว่าหลายคนมองเป็นโอกาสในการลงทุน แต่ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอน ซึ่งเมื่อมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ในภาวะการลงทุนที่เกิดความผันผวนระยะสั้น ทำให้นักลงทุนเบาใจได้ นอกจากนี้เชื่อว่ากองทุน Thai ESGX จะเสริมสร้างเสถียรภาพตลาดทุนไทยให้มั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันปรับตัวลงมาล่วงหน้าพอสมควรจากความเสี่ยงต่าง ๆ แล้ว ซึ่งในภาวะปกติผู้จัดการกองทุนจะมี ข้อมูลตัวชี้วัด (benchmark) SET Total Return Index ซึ่งคาดว่าผู้จัดการกองทุนคงนำเงินไปฝากหรือซื้อพันธบัตร คงจะไปหาโอกาสเข้าลงทุนให้เร็วที่สุด

ดังนั้นแม้สถานการณ์ไม่ปกติ มีการปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ผู้จัดการกองทุนรับรู้ประเด็นดังกล่าวมาตลอดอยู่แล้ว มองภาวะตลาดตอนนี้เชื่อมั่นว่าสะท้อนความเสี่ยงเหล่านี้ไปมากพอสมควร สะท้อนจากค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับ 2 SD ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 4.5% ซึ่งเดิมตลาดหุ้นไทยมีจุดขายในแง่ของเงินปันผลอยู่แล้ว ถ้ามีเม็ดเงินใหม่เข้ามา คาดว่าจะเป็นการทยอยการลงทุนแบบ Selective ในหุ้นที่มีการเติบโต และให้ความสำคัญด้าน ESG โดยคาดว่ากองทุน Thai ESGX จะให้ผลตอบแทนการลงทุนในระดับเลข 2 หลัก และในระยะเวลา 3-5 ปี มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น ทั้งนี้ปัจจุบันมีเม็ดเงินคงค้างจากกองทุน LTF ราว 1.5 แสนล้านบาท

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความพร้อมในการให้บริการข้อมูล LTF แก่ผู้ลงทุนผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะสามารถดูภาพรวมการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดของตนเองจากทุก บลจ. ได้ในที่เดียว ทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษีได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ขยายบริการเรียกดูข้อมูลให้ครอบคลุมกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่น ๆ อาทิ RMF, SSF และ Thai ESG เพื่อความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการตรวจสอบและบริหารจัดการลงทุนมากยิ่งขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง