"Apple" จ่อโค่น "Samsung" ในรอบ 14 ปี

บริษัทวิจัยตลาด Counterpoint Research ออกรายงานคาดการณ์ตลาดสมาร์ตโฟน โดยระบุว่า แอปเปิล จะมียอดจัดส่ง ในปี 2025 มากกว่า ซัมซุง ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 2011 หรือในรอบ 14 ปี โดยคาดการณ์ว่า ปีนี้ แอปเปิล จะมียอดจัดส่งอยู่ที่ประมาณ 243 ล้านเครื่อง และมีแนวโน้มที่จะมีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ตโฟนทั่วโลกอยู่ที่ร้อยละ 19.4 ส่วน ซัมซุง คาดว่าปีนี้จะมียอดจัดส่งจำนวน 235 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ร้อยละ 18.7
ซึ่งความสำเร็จของ แอปเปิล ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ ไอโฟน 17 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา รุ่นดังกล่าว ดึงดูดให้ผู้คนจำนวนมากขึ้น ตัดสินใจอัปเกรดเครื่อง ส่งผลให้ยอดขายเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโตทั้งตลาดสหรัฐฯ และจีน
ผลตอบรับที่ดีนั้น เห็นได้จากยอดขาย ไอโฟน 17 ในสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง ไอโฟน แอร์ ในช่วง 4 สัปดาห์แรกหลังจากเปิดตัว สูงกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ ไอโฟน 16 ถึงร้อยละ 12 ยกเว้น ไอโฟน 16 อี ขณะที่ตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของ แอปเปิล ก็พบว่ามียอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ ไอโฟน 17 สูงกว่ารุ่นก่อนหน้า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน
Yang Wang นักวิเคราะห์อาวุโสของ Counterpoint Research กล่าวในรายงานว่า นอกจาก ไอโฟน 17 จะมีการตอบรับเชิงบวกเป็นอย่างมากแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้แนวโน้มการจัดส่งของ แอปเปิล ดีขึ้น คือ วงจรการเปลี่ยนเครื่องใหม่ของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มที่ซื้อสมาร์ตโฟนช่วงเฟื่องฟู หลังการระบาดของโควิด 19 กลุ่มนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงการอัปเกรดเครื่องใหม่
สำหรับ ซัมซุง เคาน์เตอร์พอยต์ ระบุว่า ยังคงทำผลงานได้ดี ในปี 2025 และเติบโตได้เกือบร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อาจเผชิญกับความท้าทายในตลาดสมาร์ตโฟนระดับล่างถึงกลาง จากคู่แข่งขันแบรนด์จีน ซึ่งอาจขัดขวางความสามารถในการกลับไปครองตำแหน่งผู้นำอีกครั้ง
ส่วน แอปเปิล มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว และคาดการณ์ว่าจะครองอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ตโฟนโลกไปจนถึงปี 2029 ด้วยเหตุผลหลายประการ คือ
การที่ ยอดขายไอโฟนในตลาดมือสองเติบโตขึ้น โดยระหว่างปี 2023 ถึงไตรมาส 2 ปี 2025 มียอดขายจำนวนราว 358 ล้านบาท บ่งชี้ได้ว่า มีผู้ใช้หน้าใหม่เข้ามาอยู่ในระบบนิเวศมากขึ้น และผู้ใช้เหล่านี้มีโอกาสที่จะอัปเกรดเครื่องเป็นใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กลายเป็นฐานดีมานด์ขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะช่วยรักษาการเติบโตของการจัดส่งไอโฟนในไตรมาสต่อ ๆ ไป
ส่วนผลกระทบจากภาษีศุลกากรนั้น แอปเปิล ได้รับผลกระทบต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากสถานการณ์ที่ผ่อนคลายลงระหว่างสหรัฐฯ และจีน ช่วยให้ แอปเปิล มีห่วงโซ่อุปทานที่กว้างขึ้นและมีการเติบโตในบางภูมิภาค เช่นตลาดเกิดใหม่ ขณะเดียวกัน บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายนี้ ยังได้รับประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ส่วนปัจจัยทางเศรษฐกิจ ที่มีแนวโน้มยืดหยุ่น ก็ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
นักวิเคราะห์อาวุโส จาก Counterpoint Research กล่าวด้วยว่า ปัจจัยสนับสนุนเชิงโครงสร้างเหล่านี้ จะช่วยให้แอปเปิลอยู่ในสถานะที่ดีที่จะแซงหน้า ซัมซุง ในด้านยอดจัดส่งประจำปีในปี 2025 นี้ไปได้
ขณะเดียวกัน แอปเปิล ยังเตรียมจะเปิดตัว ไอโฟน 17 อี รุ่นเริ่มต้น ในปีหน้า รวมถึงสมาร์ตโฟนแบบพับได้ ส่วนการปรับปรุง สิริ ผู้ช่วยเสมือนจริงของ แอปเปิล ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ และการปรับโฉมดีไซน์ใหม่ครั้งใหญ่ของ ไอโฟน ในปี 2027 จะมีส่วนช่วยหนุนความโดดเด่นของ แอปเปิล ในระยะข้างหน้า
ทั้งอธิบายว่า การขยายไลน์สินค้าครอบคลุมหลายระดับราคา ของแอปเปิล รวมถึงซีรีส์ e ที่กำลังเติบโต และอาจจะมีการปรับรอบการเปิดตัวของรุ่น Pro กับรุ่นปกติ เนื่องจาก แอปเปิลกำลังวางกลยุทธ์เพื่อจับความต้องการของผู้บริโภคที่อยากอัปเกรด โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาดพรีเมียมระดับล่าง ที่คาดว่าจะเติบโตเร็วกว่าตลาดรวม
นอกจากนี้ ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นของระบบนิเวศ iOS ความเข้ากันได้ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ และจำนวนเครื่องรุ่นเก่าที่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนใหม่ แอปเปิลจึงมีแนวโน้มจะยังคงนำหน้าผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายอื่นไปจนถึงปลายทศวรรษนี้
ทั้งนี้ ตามรายงานฉบับล่าสุดของ Counterpoint Research คาดการณ์ตลาดสมาร์ตโฟนทั่วโลกปีนี้ จะขยายตัวอยู่ที่ราวร้อยละ 3.3 และประเมินถึงผู้ผลิตสมาร์ตโฟนแบรนด์จีน ว่า จะต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพราะตลาดในจีนเองเริ่มอิ่มตัวและแข่งขันกันรุนแรง โดยตลาดที่ยังเติบโตชัดเจน เช่น อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกา กลายเป็นเป้าหมายสำคัญ
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตจีนกำลังขยับไปสู่ตลาดราคาสูงขึ้น เช่น รุ่นพรีเมียม รวมถึงมือถือที่เน้น เอไอ และมือถือจอพับได้ เพื่อทำกำไรให้มากขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดล่างที่คนเยอะแต่กำไรน้อย
แต่ยังมีความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน ที่เป็นปัญหา ทำให้ผู้ผลิตจีนโดยเฉพาะรุ่นล่างได้รับผลกระทบมาก จึงคาดว่าการเติบโตของผู้ผลิตจีนรายใหญ่ 4 ราย ได้แก่ Xiaomi ,Transsion, vivo และ OPPO ในปี 2026 จะอยู่เพียง ประมาณร้อยละ 1.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตจีนกำลังเปลี่ยนจากการแข่งกันด้วยจำนวนเครื่อง ไปสู่การเติบโตแบบเน้นคุณค่าและกำไรมากขึ้น ผ่านการขยายตลาดไปหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้ความสำคัญของตัวเลขยอดส่งมอบและส่วนแบ่งตลาดจะค่อย ๆ ลดลง และผู้ผลิตจีนจะสร้างความแข็งแกร่งด้านรายได้ได้มากขึ้นในระยะยาว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
