รีเซต

ทำไม? น้ำท่วมใต้ '67 ถึงหนักสุดในรอบ 36 ปี

ทำไม? น้ำท่วมใต้ '67 ถึงหนักสุดในรอบ 36 ปี
TNN ช่อง16
29 พฤศจิกายน 2567 ( 12:18 )
13


สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ปลายปี 2567 กลายเป็นมหาวิกฤตที่รุนแรงที่สุดในรอบ 36 ปี เมื่อปัจจัยทางธรรมชาติหลายอย่างมาประจวบกัน ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงใน 7 จังหวัด โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนใต้ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด ประชาชนกว่า 136,000 ครัวเรือนต้องเผชิญกับสภาวะน้ำท่วมขังในพื้นที่หลายเมตร พื้นที่เศรษฐกิจและเส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตประจำวันของคนในพื้นที่


สถานการณ์น้ำท่วมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ที่ นราธิวาส ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องทำลายสถิติเดิม ด้วยปริมาณน้ำฝนสะสม 533.8 มิลลิเมตรในวันเดียว และสูงถึง 1,138 มิลลิเมตรใน 7 วัน ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศให้ทั้ง 13 อำเภอเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน บางหมู่บ้านน้ำท่วมสูงจนเหลือเพียงหลังคาบ้านให้เห็น ชาวบ้านหลายครอบครัวต้องอพยพขึ้นสู่พื้นที่สูงกันอย่างโกลาหล


ปัตตานี เผชิญปัญหาน้ำจากยะลาทะลักเข้าท่วมตัวเมืองอย่างรวดเร็ว น้ำที่ไหลบ่าเข้าสู่ 12 อำเภอ ส่งผลกระทบต่อ 37,294 ครัวเรือน ถนนหลายสายถูกตัดขาด รวมถึงเส้นทางปัตตานี-หาดใหญ่ที่ถูกน้ำท่วมสูงจนรถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรได้ ร้านสะดวกซื้อและตลาดในพื้นที่เริ่มขาดแคลนสินค้าเนื่องจากการขนส่งหยุดชะงัก


ยะลา เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อแม่น้ำปัตตานีเอ่อล้นข้ามแนวสันเขื่อนซึ่งเคยป้องกันน้ำท่วมได้มายาวนานกว่า 36 ปี น้ำที่ทะลักเข้าสู่เขตเทศบาลนครยะลาทำให้พื้นที่เศรษฐกิจถูกน้ำท่วมอย่างหนัก ขณะที่ถนนสายยะลา-เบตงเกิดเหตุดินสไลด์สูง 5 เมตร กีดขวางการจราจรในเส้นทางหลัก


อะไรอยู่เบื้องหลังมหาวิกฤตนี้?


สาเหตุหลักของวิกฤตครั้งนี้เกิดจากความผิดปกติของสภาพอากาศ ตามคำอธิบายของนักวิชาการด้านน้ำหลายท่าน ที่ออกมาระบุว่า วิกฤตครั้งนี้เป็นผลจากการรวมตัวของ 3 ปัจจัยสำคัญ คือ หย่อมความกดอากาศต่ำจากมาเลเซีย มวลอากาศเย็นจากจีน และความชื้นจากทะเลจีนใต้ ทำให้เกิดฝนตกหนักเกินกว่า 300 มิลลิเมตรต่อวัน โดยเฉพาะที่นราธิวาสที่ทำลายสถิติด้วยปริมาณฝน 533.8 มิลลิเมตรในวันเดียว


ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงคือการที่พายุมาช้ากว่าปกติในปีนี้ เนื่องจากลมหนาวมาช้า ทำให้ในเดือนพฤศจิกายนยังมีพายุจำนวนมาก ทั้งที่ปกติแล้วช่วงนี้พายุควรจะลดน้อยลง ประกอบกับน้ำทะเลหนุนสูงถึง 1.30 เมตร ทำให้น้ำที่ท่วมขังไม่สามารถระบายลงทะเลได้ตามปกติ เกิดเป็น "วงจรน้ำท่วมซ้ำซ้อน"


ผลกระทบรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยที่นราธิวาสต้องประกาศภัยพิบัติทั้ง 13 อำเภอ มีผู้เดือดร้อน 40,338 ครัวเรือน บางพื้นที่น้ำท่วมสูงจนมองเห็นแต่หลังคาบ้าน ส่วนที่ปัตตานีน้ำท่วมขยายวงกว้างถึง 12 อำเภอ กระทบ 37,294 ครัวเรือน และพบผู้เสียชีวิต 2 ราย ที่ยะลาเกิดเหตุการณ์ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อน้ำทะลักข้ามแนวสันเขื่อนที่เคยป้องกันน้ำท่วมมานาน 36 ปี


สถานการณ์อาจยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อมีการคาดการณ์ว่าช่วงเดือนธันวาคมอาจมีพายุลูกใหม่ก่อตัวในทะเลจีนใต้และอ่าวไทย โดยเฉพาะพายุปาบึกที่เคยสร้างความเสียหายอย่างหนักเมื่อ 4 ปีก่อน ประกอบกับลมหนาวระลอกที่ 3 ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งคาดว่าจะหนาวเย็นกว่าสองระลอกที่ผ่านมา


"มาตรการรับมือและช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้"


นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เปิดเผยหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยว่า แม้สถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้จะรุนแรง แต่ไม่น่ากังวลเรื่องดินโคลนถล่มเหมือนที่เคยเกิดในภาคเหนือ เนื่องจากเป็นลักษณะน้ำไหลหลากผ่าน คาดว่าจะมีฝนตกหนักต่อเนื่องอีก 2-3 วัน หลังจากนั้นมวลน้ำจะไหลลงสู่ทะเล พร้อมสั่งการให้เริ่มประเมินความเสียหายและช่วยเหลือรายบุคคลทันที โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัย


การช่วยเหลือได้ระดมกำลังจากทุกภาคส่วน โดยกองทัพภาคที่ 4 ร่วมกับจิตอาสาพระราชทานเข้าช่วยเหลือประชาชน ขณะที่การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากผู้สูงอายุบางส่วนยังเป็นห่วงที่พักอาศัย จึงได้ประสานนำเรือท้องแบนกว่า 50 ลำมาช่วยลำเลียงเด็กและผู้ป่วย รวมถึงขนส่งเครื่องอุปโภคบริโภค และ ปภ.จะส่งเรือท้องแบนเพิ่มอีก 100 ลำ เพื่อเร่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยให้เร็วที่สุด


เหตุการณ์ครั้งนี้ได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของสภาพอากาศที่แปรปรวนและความไม่พร้อมของระบบการจัดการน้ำในพื้นที่ การวางแผนรับมือในระยะยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งการพัฒนาระบบเตือนภัยที่แม่นยำ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับน้ำท่วม และการวางผังเมืองที่คำนึงถึงการระบายน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้อีกในอนาคต


หากไม่มีการปรับตัวที่เพียงพอ วิกฤตครั้งนี้อาจกลายเป็น "ความปกติใหม่" ที่ชาวใต้ต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องในอนาคต "วันนี้เราต้องตระหนักว่า น้ำท่วมไม่ใช่เรื่องของอนาคตไกล แต่เป็นความจริงที่เราต้องเผชิญและแก้ไขในวันนี้"



ภาพ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค TNN 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง