เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

ภาวะหุ้น #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index ยังมีโอกาสลุ้นฟื้นตัววันนี้ในกรอบ 1,250-1,270 จุด หลัง DELTA และ AOT เผชิญแรงขายรุนแรงช่วง 1-2 วันที่ผ่านมาและทางเทคนิค Oversold อย่างมาก ขณะที่เม็ดเงินคาดยังเกิด Sector และ Stock Rotation เข้าหากลุ่มอื่นๆซึ่งปรับตัวลงในช่วงก่อนหน้าและมี Valuation ที่น่าสนใจ ด้านปัจจัยต่างประเทศเมื่อคืนที่ผ่านมาตลาดโฟกัสกับการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันของยุโรปวงเงิน US$3.1 ล้านล้านในช่วง 10 ปีข้างหน้า และโฟกัสหลักในช่วงนี้ยังอยู่ที่พัฒนาการการเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงการดำเนินนโยบายการค้าของทรัมป์และการตอบโต้ของประเทศต่างๆ
ด้านปัจจัยในประเทศตัวเลข GDP 4Q24 ไทยวานนี้ออกมาต่ำกว่าคาด +0.4% q-q, +3.2% y-y แต่หากดูในรายละเอียดแต่ละเครื่องยนต์ยังดูไม่ได้น่ากังวล และตัวที่ถ่วงคือการเปลี่ยนแปลงของสินค้าคงคลังที่ลดลง นอกจากนี้ยังต้องติดตามข่าวมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นเพื่อลดผลกระทบจากแรงขาย LTF ที่ครบกำหนด โดยเฉพาะการหารือระหว่าง SET FETCO และคลังฯ ส่วนน้ำหนักสูงสุดของเรายังคงอยู่ที่การประกาศผลประกอบการบจ. 4Q24 ฝั่ง Real Sector ซึ่งจะทยอยประกาศออกมาหนาแน่นขึ้นในช่วงที่เหลือของเดือนนี้ ระยะสั้นคาดหุ้นที่มีกำไรแข็งแกร่งและแนวโน้มดีต่อเนื่องจะปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าตลาด ขณะที่ Valuation ปัจจุบันของ SET ที่ค่อนข้างถูก โดยเทรด PER ราว 13 เท่า และมี Earnings Yield Gap กว่า 5% ยังเน้นหุ้น Domestic Play เป็นหลักเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยสงครามการค้าโลก
กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมหุ้นเพิ่มแล้วโซน 1,300+- หรือต่ำกว่า แนะนำถือลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ก.พ. : BBL, CHG, CPALL, ERW, NSL
FSSIA Portfolio : BA, BBL, CHG, CPALL, MTC, NSL, RBF, SEAFCO, SHR, WHA
หุ้นเด่นวันนี้ : NSL
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 43 บาท
• เรายืนยันคาดการณ์กำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 146 ลบ. +8% q-q, +43% y-y ทำจุดสูงสุดใหม่ จากรายได้ที่คาดทำ New High เพราะเป็น high season และโตดีทั้งกลุ่มเบเกอรี่ และ NSL brands (BAW และเริ่มรับรู้รายได้ส่งออกน้ำมะพร้าวแล้ว) ส่วนต้นทุนยังทรงตัว และคุมค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง
• จบปี 2024 คาดกำไรโต +62% y-y และโตต่อเนื่องในปี 2025 อีก +10% y-y รวมถึงยังมี upside จากการรวมธุรกิจน้ำมะพร้าว ดีลจะแล้วเสร็จ 2Q25 Valuation ยังค่อนข้างถูก โดยเทรด PER เพียง 13.5 เท่า และให้ Dividend Yield ราว 4.2% ต่อปี
• แนวรับ 26//25 บาท แนวต้าน 29 บาท
บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ ผันผวน มีการเก็งกำไรหุ้นลงลึก ส่วน DELTA, AOT หาก rebound จะช่วยตลาดได้ โดยตลาดหุ้นไทย วานนี้(17) หากตัด DELTA, AOT ที่ราคาหุ้นปรับตัวลง ดัชนีฯ จะบวกราว 10 จุด โดยหุ้นธนาคาร และการช้อนซื้อหุ้นที่ราคาลงมาลึก (เช่น BH, BDMS) ช่วยหนุนดัชนีฯไว้ เราประเมินว่า หากไม่มีข่าวลบเข้ามาเพิ่มเติม ก็มีโอกาสที่ดัชนีฯ จะกลับขึ้นไปปิด gap ที่ 1270 จุดได้
• นักลงทุนส่วนใหญ๋ ให้น้ำหนักกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดี Trump โดยเฉพาะ Reciprocal Tariffs ที่พร้อมจะนำมาใช้ได้ตลอดเวลา (“Trump” อาจไม่รอถึง 1 เม.ย.) ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้จะเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดตลาดหนึ่งในเวลานี้ก็ตาม ทำให้ตลาดหุ้นอื่นๆ และ Fund Flow หยุดชะงัก เปลี่ยนไปถือ Cash, ทองคำ หรือ Safe Haven Assets ตัวอื่นๆ ที่ปลอดภัยกว่าหุ้น
• หุ้นน้ำมัน เราประเมินว่า มีแนวโน้มจถูกกระทบจากนโยบายสนับสนุนการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ OPEC เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตตามคำขอของ “Trump” และ สงคราม รัสเซีย-ยูเครน หากจบลง จะลดความกังวล และมี supply น้ำมันเข้ามาในตลาด ซึ่งจะเป็นลบต่อหุ้นผู้ผลิตน้ำมัน(PTTEP) แต่อาจดีต่อหุ้นปิโตรเคมี และ Commodity
• ปธน.สี จิ้นผิง ร่วมประชุมกับผู้ประกอบการชั้นนำ อาทิ ชิป รถยนต์ไฟฟ้า และ AI รวมถึงแจ็ค หม่า จาก Alibaba ซึ่งแสดงถึงการสนับสนุนภาคเอกชนของจีน ซึ่งการพบปะครั้งนี้ส่งสัญญาณดีต่อธุรกิจเอกชนมากขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากการค้ากับสหรัฐฯ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นตลาดหุ้น
• สภาพัฒน์ รายงานตัวเลข GDP ประเทศไทยไตรมาส 4/67 ขยายตัว 3.2% ต่ำกว่าตลาดคาด 3.7-4.0% แต่เร่งขึ้นจาก 3.0% ในไตรมาส 3/67 ปัจจัยหลักจากการผลิตภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรเร่งตัวขึ้น การลงทุน และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดย GDP ปี ’67 อยู่ที่ 2.5% ต่ำกว่าคาดที่ 2.7%และคาดในปี ’68 จะโต 2.3-3.3% ค่ากลาง 2.8% .... สร้างบรรยากาศเชิงลบต่อตลาด เนื่องจาก GDP Q4/67 ออกมาต่ำคาดทำให้ GDP ทั้งปีไม่เป็นไปตามเป้า
• โดนัลด์ ทรัมป์ เผย เซเลนสกี ปธน.ยูเครนจะเข้าร่วมเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย แม้ก่อนหน้านี้ที่ปรึกษาสหรัฐฯ เคยเสนอให้การเจรจาเกิดขึ้นโดยไม่เซเลนสกีเข้าร่วม โดยทรัมป์เชื่อว่าปูตินต้องการยุติสงครามนี้ โดยจะเสนอให้ยูเครนแลกเปลี่ยนทรัพยากรแร่สำคัญครึ่งหนึ่งกับสหรัฐฯ เพื่อรับการสนับสนุนทางทหารต่อไป
• ร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ ผ่านกฤษฎีกา วาระที่ 1 ชี้ชัดจำกัดสัดส่วนกาสิโนไม่เกิน 10% ของพื้นที่ ให้รับฟังความเห็นประชาชน 15 ก.พ.-1 มี.ค.68 โดยรัฐบาลตั้งเป้าเร่งผ่านร่างกฎหมายภายในปีนี้ เพื่อดึงดูดการลงทุนและจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น .... สัดส่วนของกาสิโนน้อย อาจลดความดึงดูดนักท่องเที่ยวลง ต้องดูกิจกรรมอื่นๆ จะสามารถดึงดูดการท่องเที่ยวมาเพิ่มได้ไหม
• Event วันนี้ : ประชุม ครม.
Technical : BCH, KAMART
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ดประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,240 – 1,250 แนวต้าน 1,270 คาดดัชนีมีโอกาสรีบาวน์ หลัง Valuation ดัชนีเทรดที่ Forward P/E ที่ 13.0 เท่าอยู่ในโซนถูก กอปรมีสัญญาณบวกจากเม็ดเงินที่สลับเข้าลงทุนในกลุ่มอื่น ๆ เช่น รพ. ไฟแนนท์ ค้าปลีก แนะนำทยอยซื้อค้าปลีก CPAXT,BJC,MC/ ไฟแนนท์ MTC,TIDLOR / เก็งกำไรกลุ่มที่รายงานงบ Q4/67 ขยายตัวดี เช่น STGT, AIT
MTC* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 56.00 บาท) แนวโน้ม 4Q67 กำไรยังอยู่ในทิศทางปรับเพิ่มทั้ง QoQ, YoY จากการตั้งสำรองที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงจากมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางของรัฐ ส่งผลให้ลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น ส่วน NIM ที่อาจถูกกดดันจากต้นทุนการเงินหุ้นกู้ชุดใหม่น่าจะชดเชยได้จากการขยายพอร์ตสินเชื่อ ซึ่งในปี 67-68 คาดการขยายตัวของสินเชื่อ 15-20% อิงจาก consensus ตลาดคาดกำไรสุทธิปี 68 ที่ 6.9 พันล้านบาท +18%YoY นอกจากนี้ยังมีประเด็นบวกจาก ครม เห็นชอบขยายโครงการ คุณสู้ เราช่วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือลุกหนี้รายย่อยของ Non-Bank โดย MTC เป็นผู้ที่ผ่านการพิจารณา รวมถึงช่วงสั้นมี sentiment บวกจาก bond yield ที่ปรับตัวลดลง
TTB (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 2.07 บาท) กำไร Q4/67 อยู่ที่ 5,112 ลบ. -2.3% QoQ, +5.0% YoY โดยภาพทั้งปี TTB มีกำไรปี 67 รวมอยู่ที่ 2.1 หมื่น ลบ. +12.9% YoY สินเชือปี 67 หดตัว -6.5% YTD ชะลอตัวตามสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ แต่ยังได้แรงหนุนจาก Loan Yield อยู่ที่ 5.59% +31 Bps YoY จากเน้นปล่อยสินเชื่อ High Yield ด้านต้นทุนการเงินควบคุมได้ดี กอปรกับยังได้ประโยชน์ทางภาษี Tax Shield จำนวน 4.9 พัน ลบ. NPL ปรับลดลงอยู่ที่ 2.59% อัตรา Coverage Ratio ที่ 151% ส่วนปี68 ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไร TTB 2.13 หมื่น ลบ. +1.48% YoY บนสมมุติฐานสินเชื่อปี 68 +1% YoY จากตลาดสินเชื่อรถยนต์ที่คาดยังฟื้นตัวช้า แต่ได้แรงหนุนจากอัตรา Loan Yield คาดรักษาที่ระดับ 4.8% จากสินเชื่อ High Yield ขณะที่คาด Cost to Income 43.7% และ Credit Cost 1.44%