"ช่องแคบฮอร์มุซ" ตัวประกันราคาน้ำมันโลก เกมศึก "อิสราเอล-อิหร่าน"

ปิด "ช่องแคบฮอร์มุซ" ? สะเทือนโลก
อิสราเอลและอิหร่าน โจมตีกันอย่างหนักและต่อเนื่อง มีผลกระทบมาถึงคนไทยได้หรือไม่ ?
คำตอบ คือ ใช่ เพราะเราต้องใช้น้ำมัน ต้องการพลังงาน
โดยเฉพาะตัวแปรสำคัญของเรื่องนี้ "ช่องแคบฮอร์มุซ" จะถูกปิดหรือไม่อย่างไร
"ช่องแคบฮอร์มุซ" คือ อะไร ?
ทำไมอิหร่านต้องการจะปิด ล่าสุดมีรายงานว่ารัฐสภาอิหร่านได้อนุมัติในหลักการให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซแล้ว แต่จะปิดได้จริงหรือไม่นั้นขั้นสุดท้ายจะอยู่ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของประเทศว่าจะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากอิหร่านถูกสหรัฐฯโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่ง
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์พิเศษจากทำเนียบขาว พร้อมถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ ระบุว่าสหรัฐฯ โจมตีโครงการนิวเคลียร์ 3 แห่ง ในอิหร่าน เป็นการโจมตีทางทหารที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม และยังอ้างอีกว่าผลการจากโจมตีครั้งนี้ ทำให้โครงการเสริมสร้างสมรรถนะนิวเคลียร์ของอิหร่านที่สำคัญถูกลบล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว
ขณะที่ทางการอิหร่านยืนยันว่าโรงงานนิวเคลียร์สามแห่งในอิหร่านถูกโจมตี ประกอบด้วย ฟอร์โดว์, นาตันซ์ และอิสฟาฮาน ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดความเสียหายมากน้อยแค่ไหน
เกมศึกครั้งนี้ จึงมี "ช่องแคบฮอร์มุซ" เป็นตัวประกัน
ช่องแคบฮอร์มุซ เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของน้ำมันโลก มีน้ำมันผ่านเส้นทางนี้ถึง 1 ใน 5 ของโลก โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดคอขวด มีรูปร่างเป็นตัว V ยาวประมาณ 150 กิโลเมตร และในช่วงที่แคบที่สุดมีความกว้างเพียงประมาณ 40 กิโลเมตรเท่านั้น เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับมหาสมุทรอินเดีย โดยมีอิหร่านอยู่ทางเหนือ และ UAE กับโอมานอยู่ทางใต้
หลายฝ่ายมองว่าช่องแคบนี้เป็น “จุดอับ” เพราะช่องเดินเรือในช่องแคบแห่งนี้วิ่งสวนกันไปมากว้างเพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้น อีกทั้งเป็นจุดที่น้ำตื้น ทำให้มีปัญหาหลายประการตามมา เช่น อันตรายที่อาจจะเกิดจากการวางทุ่นระเบิดได้ หรือง่ายต่อความพยายามที่จะก่อเหตุร้าย ไม่ว่าจะมาจากโดยฝ่ายใดก็ตาม เช่น เรือบรรทุกน้ำมันอาจจะตกเป็นเป้าการโจมตีโดยขีปนาวุธที่ยิงจากชายฝั่งได้
และปัจจุบันนี้ช่องแคบฮอร์มุซมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีน้ำมันดิบมากถึงหนึ่งในห้าของโลกถูกขนส่งผ่านช่องแคบนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (Energy Information Administration - EIA) ประมาณการว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 มีน้ำมันราว 20 ล้านบาร์เรล/วัน ถูกขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเทียบเท่ากับมูลค่าการค้าพลังงานที่ขนส่งผ่านเส้นทางทะเล เกือบ 600,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
นอกจากช่องแคบฮอร์มุซที่กำลังกลายเป็นตัวประกันแล้วการโจมตีตัวเมืองอิหร่านเองก็จะไปกระทบต่อการผลิตน้ำมันด้วยเช่นกัน เพราะมีทั้งแหล่งก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบ อยู่ในประเทศ
การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลังงานของอิหร่าน ทำให้เกิดความกังวลด้านอุปทาน หรือการผลิตน้ำมัน
อิหร่านเป็นหนึ่งในเจ้าแห่งพลังงาน อ้างอิงจากข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าอิหร่านเป็นประเทศมีแหล่งก๊าซธรรมชาติสำรองมากถึงอันดับ 2 ของโลก และยังมีแหล่งน้ำมันดิบสำรองมากเป็นอันดับ 3 ของโลก ขณะที่รายงานของ Emkay Global ระบุว่าไว้ว่า อิหร่านผลิตน้ำมันดิบถึงประมาณ 3 ล้าน 3 แสนบาร์เรลต่อวัน หรือคิดแล้วเป็นสัดส่วนประมาณ 3 % ของการผลิตน้ำมันทั่วโลก ส่งออกอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน มีจีนเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่ 80 % ตามด้วยตุรกี
เบื้องต้นการโจมตีของอิสราเอล และไม่นับการโจมตีเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ ได้ส่งผลแล้ว ทั้งต่อโรงกลั่น และแหล่งก๊าซธรรมชาติสำคัญหลายแห่งในอิหร่าน เช่น มีรายงานการเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่เมืองหลวงของอิหร่าน ใกล้กับ คลังน้ำมันและก๊าซชาห์ราน (Shahran) ซึ่งคลังน้ำมันจุดนี้ เป็นหนึ่งในศูนย์จัดเก็บและจ่ายเชื้อเพลิงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเตหะราน โรงกลั่นแห่งนี้มีความจุเกือบ 260 ล้านลิตรในถัง 11 ถัง ถือเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในโครงข่ายเชื้อเพลิงในเขตเมืองของเมืองหลวง
และโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอิหร่านในชาห์เรย์ (Shahr Rey) ดำเนินการโดยบริษัท Tehran Oil Refining Company ซึ่งเป็นของรัฐ ถือเป็นโรงกลั่นที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ มีกำลังการกลั่นเกือบ 225,000 บาร์เรลต่อวัน ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการหยุดชะงักของโรงกลั่นแห่งนี้ อาจทำให้การขนส่งเชื้อเพลิงในภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุด และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากที่สุดของอิหร่านเกิดความยุ่งยาก
นอกจากนี้ยังเกิดการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ที่บริเวณแหล่งก๊าซเซาท์พาร์ส (South Pars) แหล่งก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแหล่งที่มาของก๊าซสองในสามของการผลิตของอิหร่าน ซึ่งใช้กันทั่วประเทศ อิหร่านแบ่งปันแหล่งก๊าซจากที่นี่ให้กับกาตาร์ ประเทศเพื่อนบ้านด้วย การโจมตีดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายและเพลิงไหม้อย่างรุนแรง
"ประเทศไทย" มีน้ำมันสำรองเพียงพอหรือไม่ ?
ประเทศไทยเรามีสต๊อกน้ำมัน อยู่เพียงแค่ 60 วันเท่านั้นดังนั้นหากสถานการณ์ยืดเยื้อหรือรุนแรงขึ้น ก็ต้องหาทางพยุงราคาน้ำมันในประเทศ และเร่งขยายสต๊อกน้ำมันเพิ่ม
กระทรวงพลังงานของไทย ระบุว่า ขณะนี้ทางกระทรวง ได้ใช้กลไกของกองทุนน้ำมันในการพยุงราคา ซึ่งจากสถานะของกองทุนปัจุบันน่าจะอุดหนุนราคาได้อีกไม่เกิน 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้นจึงอาจต้องหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อใช้มาตรการภาษีเข้ามาช่วยพยุงราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเพิ่มเติม เพื่อพยายามตรึงราคาน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร
ขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ
ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,337 ล้านลิตร
เพียงพอต่อความต้องการใช้ 25 วัน
น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,457 ล้านลิตร
เพียงพอต่อความต้องการใช้ 19 วัน
และน้ำมันสำเร็จรูป 1,874 ล้านลิตร
เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน
*รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน
ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ เพื่อลดผลกระทบด้านราคาให้มากที่สุด
นอกจากนี้ จากสถานการณ์สู้รบ ยังส่งผลกระทบต่อราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ใช้เป็นเขื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าที่มีราคาสูงขึ้น ประกอบกับต่างประเทศใกล้จะเข้าสู่หน้าหนาว จึงจะหารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางดูแลค่าไฟให้อยู่ในอัตรา 3.98 บาทต่อหน่วย ตามนโยบายของรัฐบาล
"พาณิชย์" ประเมิน ปิดช่องแคบฮอร์มุซ
ราคาน้ำมันพุ่ง - ดันเงินเฟ้อ - ฉุดส่งออกไปตะวันออกกลาง
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามกรณีที่รัฐสภาอิหร่านได้ลงมติสนับสนุนให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ แม้ว่ามติดังกล่าว ต้องได้รับการอนุมัติจากสภาความมั่นคงสูงสุดแห่งชาติและผู้นำสูงสุดอิหร่านก่อนที่จะดำเนินการ แต่พบว่ามีสัญญาณความตึงเครียดเกิดขึ้น เพราะช่องแคบดังกล่าวมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์
หากอิหร่านตัดสินใจขัดขวางการขนส่งบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการขนส่งน้ำมัน เนื่องจากเรือบรรทุกน้ำมันต้องหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เช่น การอ้อมผ่านทวีปแอฟริกา ซึ่งจะผลักดันให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อโลกเพิ่มขึ้น และกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ช่องแคบดังกล่าวเป็นช่องทางเดินเรือเพื่อส่งออกสินค้าสำคัญของประเทศที่ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเกือบทั้งหมด ในตะวันออกกลาง ทั้งซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน กาตาร์ บาห์เรน และคูเวต สะท้อนให้เห็นว่าช่องทางดังกล่าวเป็นเส้นทางน้ำที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางกับตลาดสำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่ EIA ประเมินว่า ในปี 2567 มีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ถึง 84% ที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซมุ่งหน้าสู่ตลาดเอเชีย
ดังนั้น หากอิหร่านตัดสินใจขัดขวางการขนส่งบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการขนส่งน้ำมัน เนื่องจากเรือบรรทุกน้ำมันต้องหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เช่น การอ้อมผ่านทวีปแอฟริกา ซึ่งจะผลักดันให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อโลกเพิ่มขึ้น และกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง
สถานการณ์ความไม่แน่นอนดังกล่าวได้สร้างความเสี่ยงให้กับตลาดพลังงานโลก สะท้อนจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ผันผวนและปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน หลังสหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน โดยนับตั้งแต่หลังการโจมตีของอิสราเอลในวันที่ 13 มิ.ย.จนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 13%
ในขณะที่ "Goldman Sachs" ประเมินความเสี่ยงจากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ว่า หากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซลดลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน และยังคงลดลง 10% ต่อเนื่องไปอีก 11 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจพุ่งขึ้นในระยะสั้นแตะระดับสูงสุดที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากนั้นราคาจะปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันเบรนท์จะอยู่ที่ 95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
ในอีกกรณีหนึ่ง หากอุปทานน้ำมันดิบของอิหร่านลดลง 1.75 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นเวลา 6 เดือน อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งสูงสุดที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดลงมาเหลือ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในปี 2569 ทั้งนี้ Goldman Sachs มองว่าความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซในปี 2568 อยู่ที่ 52%
แนวโน้มสถานการณ์ที่รุนแรงในภูมิภาคตะวันออกกลาง ยังส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จากค่าขนส่งและค่าเบี้ยประกันภัยการขนส่งทางทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพุ่งขึ้นของอัตราค่าระวางเรือทั่วโลก หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นต่อเนื่องอาจนำมาสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในวงกว้าง
ทั้งนี้ในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป) มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางมูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 52.6% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต และโอมาน โดยนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์เป็นหลัก
หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด อุปทานน้ำมันดิบกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศจะได้รับผลกระทบ และหากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจนำมาสู่การเผชิญราคาน้ำมันและค่าพลังงานที่พุ่งสูง ซึ่งมีผลโดยตรงทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมีสัดส่วนน้ำหนักถึง 9.57% ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ การปิดกั้นช่องทางขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบแห่งนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางค่อนข้างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่สินค้าไทยจะขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซไปยังท่าเรือ Jebel Ali ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าไปยังตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ในด้านการส่งออกของไทยบางสินค้าอาจได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เช่น สินค้าส่งออกที่เกี่ยวกับน้ำมัน ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซปิโตรเลียมเหลว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
