รีเซต

จับตาเวียดนามคู่แข่งไทย ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกด้วย2สิ่งนี้ วัยแรงงานหนุ่มสาว-ค่าแรงถูก

จับตาเวียดนามคู่แข่งไทย  ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกด้วย2สิ่งนี้ วัยแรงงานหนุ่มสาว-ค่าแรงถูก
มติชน
17 กรกฎาคม 2565 ( 09:21 )
83
จับตาเวียดนามคู่แข่งไทย  ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกด้วย2สิ่งนี้ วัยแรงงานหนุ่มสาว-ค่าแรงถูก

ในอดีตคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ประเทศไทยกำลังกลายเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งทวีปเอเชีย” ด้วยแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ตามรอย “สี่เสือแห่งเอเชีย” ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน แต่แล้วหนทางติดเขี้ยวเล็บเพื่อเป็นเสือตัวที่ 5 ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความคิดของคนไทยในยุคปัจจุบัน

 

ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ต่างมีการพัฒนากันอย่างเต็มกำลัง โดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียนในปี 2565 จะขยายตัวเฉลี่ย 5.2% โดยฟิลิปปินส์นำโด่งขยายตัว 7% ตามด้วยเวียดนาม โต 6.5% มาเลเซีย 6% อินโดนีเซีย 5.2% สิงคโปร์ 4% บรูไน 3.5% ขณะที่ไทยเกือบรั้งท้าย ขยายตัว 3.8% ถือว่าช้ากว่าการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค

 

สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ เวียดนาม จัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เป็นหนึ่งในคู่แข่งที่น่ากลัวของไทย!!

 

จากข้อมูลทางสถิติแสดงให้เห็นว่า เวียดนามสามารถแย่งตลาดการส่งออกข้าวจากไทย จนขึ้นเป็นอันดับสองของโลก รองจากอินเดีย เมื่อปี 2564 เบียดไทยหล่นมาอยู่อันดับสามของโลก ทำให้เห็นว่าเวียดนามพยายามพัฒนาเศรษฐกิจของเขาอย่างเต็มที่ สอดคล้องกับคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม

 

ในโอกาสที่กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายรักษ์ วรกิจโภคาทร ได้เดินทางไปยังนครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อร่วมพิธีเปิดสำนักงานผู้แทน EXIM BANK โฮจิมินห์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จึงมีโอกาสร่วมทริป สัมผัสประเทศเวียดนามในปัจจุบันจะแตกต่างจากภาพในอดีตมากน้อยแค่ไหน

 

สิ่งแรกที่เห็นและถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้ คือการใช้จักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลักยอดนิยม ยังคงภาพนี้ให้เห็นบนถนน ซึ่งดูเหมือนจะวุ่นวายแต่ด้วยกฎหมายที่นี่เข้มงวดมากเรื่องจำกัดความเร็ว จึงปลอดภัยสูงในการเดินทางแต่ก็ต้องแลกกับเวลาที่เสียไป ดังนั้น ใครที่จะเดินทางไกลต้องวางแผนและเตรียมตัวให้ดี โดยเมืองทางตอนกลางและตอนใต้ ยังไม่เห็นการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าหรือรถราง มีเพียงรถโดยสารประจำทางประเภทรถบัส ซึ่งไม่เป็นที่นิยมนัก

 

สภาพการคมนาคมโดยทั่วไป ขนาดถนนใหญ่สุดประมาณ 6-8 ช่องจราจร ทางด่วนและสะพานมีไม่มากหากเทียบกับไทยส่วนใหญ่เป็นสะพานข้ามแม่น้ำหรือข้ามแยกภายในเมืองเท่านั้น ส่วนสนามบินจะเป็นบริษัทสายการบินในประเทศใช้เดินทางข้ามจังหวัด แต่ก็มีนักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการด้วยเช่นเดียวกับคนเวียดนาม ภายในสนามบินจึงค่อนข้างแออัด ส่วนทางรถไฟ เดาว่าอาจจะไม่เป็นที่นิยมใช้เพราะเที่ยวเดินรถค่อนข้างห่างกัน อาจจะใช้เพื่อการขนส่งสินค้าเป็นหลัก

ภาพที่เห็นระหว่างเดินทางอยู่ในเมืองจะเห็นความกระจุกตัว แต่เมื่อออกจากตัวเมืองเพียงไม่นาน ถนนจะแคบลงเหลือแค่ขนาด 2.4 ช่องจราจร ภาพของตึก อาหาร ร้านค้า บ้านพักอาศัยจะค่อยๆ จางหายไปจากสายตา เห็นภาพที่ดินเปล่าทอดยาวสุดลูกตามาแทนที่ ขณะที่สถานีบริการหรือปั๊มน้ำมันจะมีไม่มากและเป็นปั๊มน้ำมันให้บริการน้ำมันเท่านั้น จริงๆ ไม่มีห้องน้ำและร้านสะดวกซื้อเปิดบริการเหมือนไทย เช่นเดียวกับที่พัก โรงแรม ก็จะเห็นรวมกันเป็นกระจุก ด้วยเพราะเวียดนามมีการจัดระเบียบพื้นที่เข้มข้น ทำให้โรงแรมจะมีอย่างจำกัด และแยกโซนชัดเจน ขณะที่ร้านค้ามีการแบ่งแยกโซนให้เห็นชัดเจนว่า ย่านนี้ทำธุรกิจประเภทใด อาทิ ธุรกิจจำหน่ายจักรยานยนต์ ธุรกิจซ่อมรถ ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และธุรกิจสถานบันเทิง

คาดว่าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากการสร้างผังเมืองสมัยที่เป็นเมืองขึ้นอาณานิคมของฝรั่งเศส ในปัจจุบันยังเห็นอิทธิพลดังกล่าวผ่านรูปแบบสถาปัตยกรรมอาคารต่างๆ ที่ถูกปรับมาใช้เป็นสถานที่ราชการ สถานที่ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ซึ่งที่นี่ไม่ค่อยเห็นช้อปแบรนด์เนม หรือจักรยานยนต์ที่เป็นที่นิยมก็จะเป็นกลุ่มจักรยานยนต์ใช้ในครอบครัว ประเภทบิ๊กไบค์ ไม่ค่อยเห็นเป็นที่นิยมเหมือนเมืองไทย ส่วนบ้านพักอาศัยก็จะเป็นแบบเรียบง่าย ตึกแถว อพาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก หากเป็นนอกเมืองจะเป็นบ้านเดี่ยวที่ปลูกเองชั้นเดียวไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย เรียกได้ว่า ที่โฮจิมินห์ยังไม่ค่อยมีโครงการหมู่บ้านจัดสรร หรือคอนโดมิเนียมให้เห็น ตึกสูงในเมืองจะเป็นโรงแรมระดับสี่ถึงห้าดาว

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวจะเน้นไปที่สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ทางสงครามและวัฒนธรรมต่างๆ หรือเมืองที่มีศิลปกรรม อาคารสถาปัตยกรรมที่สวยงามและทรงคุณค่าสำหรับคนในประเทศ และธรรมชาติ ทะเล ภูเขา

จากที่สัมผัสดูด้วยตา ให้คะแนนประเทศไทยเรื่องการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว มีความเหนือชั้นกว่าเวียดนาม ทั้งระบบขนส่งต่างๆ ความหลากหลายของรูปแบบการท่องเที่ยว และการพัฒนาด้านอาชีพการท่องเที่ยวและบริการ

อย่างไรก็ดี เวียดนามกลับกลายเป็นประเทศที่กำลังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ สนใจย้ายฐานการผลิตมาลงทุนที่นี่ ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ คือการเป็นประเทศที่อยู่ใจกลางของภูมิภาค มีพื้นที่ติดทะเลจำนวนมาก ซึ่งมากกว่าไทย อีกทั้งประชากรของประเทศเวียดนามอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว ที่เป็นวัยแรงงาน เรียกได้ว่าห่างไกลจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากกว่าไทย ซึ่งสังเกตได้ในทันที เพราะผู้คนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ในเมืองทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์วัยแรงงาน

ตามข้อมูลทางสถิติได้ระบุว่า เวียดนามมีประชากรราว 96-97 ล้านคน มีจำนวนมากเป็นอันดับสามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และในสัดส่วนประชากร ช่วงอายุอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยกลางคนมีมากถึง 70%และหากนับเป็นวัยแรงงานถือว่ามีมากกว่า 50% ของประชากรขณะที่วัยชรา มีเพียง 6-7% เท่านั้น

นอกจากนี้ วัฒนธรรมและค่านิยมของประเทศเวียดนาม สนับสนุนให้วัยหนุ่มสาวใช้ชีวิตในประเทศเวียดนาม ทำให้มีความพร้อมด้านกำลังคนสูงกว่าไทยที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน แถมค่าแรงที่เวียดนามยังถูกกว่าค่าแรงของไทย เฉลี่ยเพียง 200 บาทต่อวันเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ดีมาก

สำหรับธุรกิจที่มีการลงทุนจำนวนมากคือ ธุรกิจสถาบันการเงิน มีทั้งธนาคารจากส่วนกลาง ธนาคารท้องถิ่น ธนาคารจากต่างประเทศ ซึ่งนักธุรกิจชาวไทยก็มีการไปลงทุนเปิดสาขาที่เวียดนามด้วย เชื่อว่าแบรนด์ธนาคารน่าจะมีราวๆ 30-40 แบรนด์ จึงเป็นที่น่าสนใจว่าประชากรเวียดนามใช้บริการและทำธุรกรรมจำนวนมาก

ด้านนักลงทุนไทยเองก็ให้ความสนใจเช่นกัน โดยมีการลงทุนด้านธุรกิจสถาบันการเงินราว 2-3 เจ้าใหญ่ นอกจากนี้ ก็สนใจลงทุนด้านการผลิตพลังงานทดแทน ธุรกิจปิโตรเคมี กลุ่มกิจการค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า และกลุ่มอาหารแปรรูปและเกษตรกรรม

ข้อมูลการลงทุนของชาวต่างชาติในเวียดนาม เมื่อปี 2564 อันดับ 1 ได้แก่ เกาหลีใต้ ตามด้วยญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง มาเป็นอันดับ 5 ส่วนการลงทุนจากประเทศไทย อยู่ที่อันดับ 9

สำหรับอุตสาหกรรมที่สำคัญในเวียดนาม มีทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล คอมพิวเตอร์ และเครื่องนุ่งห่ม ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กลุ่มสินค้าเครื่องประดับ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมของประเทศไทย

มาถึงบรรทัดนี้คงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม เวียดนามจึงเป็นที่น่าสนใจจากทั่วโลกในการเข้าลงทุน และทำไมประเทศไทยต้องจับตามอง เพราะถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ขณะเดียวกันก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญด้วย จากที่นำเข้าสินค้าไทยเป็นจำนวนมาก ถูกจัดอันดับเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ในกลุ่มอาเซียน

ดังนั้น ประเทศไทยจะนอนใจ ประมาทไม่ได้แล้ว เพราะสัญญาณจากเวียดนามเริ่มเด่นชัด จะตีตื้นขึ้นมาแซงไทยได้ทุกขณะ…

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง